วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ผักสมุนไพร

(หมวด ก)

กระเจี๊ยบมอญ
ชื่อสมุนไพร : กระเจี๊ยบมอญ
ชื่อพื้นเมือง : กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบ มะเขือมื่น ส้มพม่า มะเขือหวาย มะเขือมอญ มะเขือพม่า มะเขือละโว้
กระต้าด ถั่วเละ กระเจี๊ยบขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Abelmoschus esculentus Moench.
วงศ์ : MALVACEAE
รส : ผลอ่อน รสจืด
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น เป็นไม้พุ่มล้มลุกอายุประมาณ 1 ปี สูงประมาณ 40 ซม.–2 เมตร ลำต้นมีขนสั้นๆ มีหลายสีแตกต่างตามพันธุ์ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ใบมีลักษณะกว้างเป็นแฉกคล้ายใบละหุ่งหรือรูปฝ่ามือ ใบเรียงสลับใบมีขนหยาบ ใบกว้าง8-25ซม.ยาว 10-30 ซม.ดอก เป็นดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีเหลืองโคนดอกด้านในสีม่วงแดง เมื่อบานคล้ายดอกฝ้ายมี เกสรตัวผู้และตัวผู้เมียอยู่ในดอกเดียวกัน ก้านชูอับเรณูติดกันเป็นหลอดผล เป็นฝักมีรูปกลมเรียวยาว ปลายฝักแหลมเป็นจีบมีขนรอบ มีทั้งชนิดฝักกลมรี เมล็ดอ่อนมีสีขาวเมื่อ แก่มีสีเทา ฝักอ่อนสีเขียวเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และจะแตกออกตามแนวรอยสันเหลี่ยมทำให้เห็นเมล็ดที่อยู่ข้างใน เมล็ดกลม ผลอ่อนสีขาวเมื่อแก่เป็นสีดำ
สรรพคุณทางยา : ผลแห้งป่นชงรับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ และดื่มน้ำตามวันละ 3-4 ครั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะ ผล มีสารpectin และ mucilage ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ผลอ่อนแก้พยาธิตัวจี๊ด ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : ผลอ่อน
การปรุงอาหาร : ผลอ่อน นำมาต้มรับประทานเป็นผักจิ้มร่วมกับน้ำพริก ผลอ่อน ลวกนึ่งหรือเผาไฟ รับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกหรือนำผลอ่อนมาแกงส้ม
วิธีใช้ : แก้พยาธิตัวจี๊ด โดยเอาผลกระเจี๊ยบมอญที่ยังอ่อนมาปรุงเป็นอาหารกิน เช่น ต้มหรือย่างไฟให้สุก จิ้มกับน้ำพริกหรือทำแกงส้ม แกงเลียง กินวันละ ๓ เวลาทุกวัน กินติดต่อกันอย่างน้อย ๑๕ วัน วันละ ๔ - ๕ ผล แต่บางคนต้องกินเป็นเดือนจึงจะหายเวลาต้มต้องให้สุกจริงๆ ถ้าไม่สุกจะเหม็นเขียว กินแล้วจะเป็นอันตรายเกิดการเบื่อเมาได้ http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg1

ดอกกระเจียว
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cercuma alismatifolia Gagnepชื่อไทย : กระเจียว , ปทุมมา , บัวสวรรค์ ชื่อสามัญ : Siam Tulip , Patummaชื่อการค้า : Curcuma Sharome สกุลย่อย : Paracurcuma กลุ่ม : Patummaทรงต้น : คล้ายกล้วยถิ่นกำเนิด : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยลักษณะทั่วไป : - ทรงพุ่มสูงประมาณ 55 เซนติเมตร กว้างประมาณ 50 เซ็นติเมตร ลำต้นเทียมสูงประมาณ 30 เซ็นติเมตร
- ใบ กาบใบสีเขียวโคนสีแดง ก้านใบยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ใบเป็นรูปรีค่อนข้างแคบ กว้าง 7.5 เซนติเมตร ยาว 32 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบไม่มีขน บริเวณเส้นกลางใบอาจมีสีแดง ไม่มีเส้นลอย - ดอก ช่อดอกเกิดจากปลายลำต้นเทียม ก้านช่อดอกยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ใบประดับสีเขียว บางครั้งอาจมีสีม่วงชมพูแต้มบ้าง ใบประดับไม่มีขน ขนาดกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 2.5 เซนติเมตร ใบประดับส่วนบนมีสีชมพูอมม่วง กว้าง 3.2 เซนติเมตร ยาว 5.5 เซนติเมตร จำนวนใบประดับส่วนบนจะแตกกันตามพันธุ์ และความสมบูรณ์ของต้น ดอกสีขาวปากสีม่วง ปากมีสันตามแนวยาว 2 สัน ด้านในของสันเป็นสีเหลือง กลีบสเตมิโนดมีสีขาวขนานกัน อับละอองเรณูป่องตลอดอัน
การขยายพันธุ์ : การเพาะเมล็ด , การแยกเหง้า , การผ่าเหง้า , การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสภาพปลูกที่เหมาะสม : ดินร่วนระบายน้ำดี อินทรีย์วัตถุสูง แสงจัด ประโยชน์ : ไม้ตัดดอก ไม้ดอกกระถาง ไม้ดอกประดับแปลงจำนวนโครโมโซม ( 2n ) : 32เวลาพร้อมผสม : 07:30 - 10:00 นาฬิกา
ประโยชน์และสรรพคุณ : ดอกกระเจียวทานได้ ให้นำดอกอ่อนมาลวกจนสุกจิ้มกับน้ำพริก หรือจะกินดอกสดก็ได้ บางบ้านนิยมนำมาทำแกงส้ม หรือไม่ก็นำมาแกล้มกับขนมจีน ลาบ ก้อยดอกกระเจียวมีรสเผ็ดร้อน และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้มดลูกอักเสบสำหรับสตรีหลังคลอด
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower5

กระชาย

ชื่อสามัญ / ชื่ออังกฤษ Boesenbergia ชื่อวิทยาศาสตร์ Boesenbergia pandurata (Roxb.) Schltro
วงศ์ Zinggiberaceae ชื่ออื่น / ชื่อท้องถิ่น กะแอน ระแอน (ภาคเหนือ) ขิงทราย (มหาสารคาม) ว่านพระอาทิตย์ (กรุงเทพ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ กระชายเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าหรือลำต้นอยู่ใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะเรียวยาว อวบน้ำ ตรงกลางเหง้าจะพองคล้ายกระสวย ออกเกาะกลุ่มกันเป็นกระจุก มีสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแกมส้ม กระชายมีอยู่สามชนิด คือ กระชายเหลือง กระชายดำ และกระชายแดง แต่คนนิยมให้กระชายเหลืองมากกว่าชนิดอื่น ใบกระชายเป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน สีค่อนข้างแดง ใบมีขนาดยาวรีรูปไข่ ปลายใบแหลมมีขนาดใหญ่สีเขียวอ่อน โคนใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ออกดอกเป็นช่อที่ยอด ดอกมีสีขาวหรือขาวปนชมพู ผลของกระชายเป็นผลแห้ง นิยมปลูกเป็นพืชสวนครัว
ถิ่นกำเนิด อินเดีย – มาเลเซีย
สารสำคัญที่พบ รากและเหง้าของกระชายมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งประกอบไปด้วยสารไพนีน (Pinene) แคมฟีน (Camphene) เมอร์ซีน (Myrcene) ไลโมนีน (Limonene) บอร์นีออล (Borneol) และการบูร (Camphor) เป็นต้น สรรพคุณ กระชายมีรสเผ็ดร้อน สารสำคัญในรากและเหง้ากระชายมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหารและแก้โรคในช่องปาก และเป็นยาอายุวัฒนะ
วิธีใช้เพื่อเป็นยา / ประโยชน์อื่น 1. แก้บิด ท้องร่วง ท้องเสีย นำรากกระชายย่างไฟให้สุก ตำให้ละเอียดผสมน้ำปูนใสในอัตราส่วน กระชายแก่ 4 หัว ต่อน้ำปูนใส 5 ช้อนแกง คนให้เข้ากันดีแล้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มครั้งละ 3-5 ช้อนแกง ทุกครั้งที่ถ่าย เมื่ออาการดีขึ้นให้กินวันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น เมื่อหายแล้วกินต่ออีก 1-2 วัน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น 2. รักษาโรคริดสีดวงทวาร ต้มกระชายพร้อมมะขามเปียก เติมเกลือแกงเล็กน้อย รับประทานก่อนนอนทุกวัน 3. ช่วยบำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ ตำรากกระชาย 1 กำมือให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำผึ้งในอัตราส่วนที่เท่ากัน รับประทานก่อนอาหารเย็น 1 ชั่วโมง ครั้งละประมาณ 1 ถ้วยชา 4. ช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ นำรากกระชายแก่ ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ตากแดดให้แห้ง บดให้เป็นผงเก็บไว้ละลายกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการเป็นลม
5. ไล่แมลง ใช้รากกระชาย ตะไคร้ หอมแดง ข่า ใบสะเดาแก่ ตำผสมกัน ผสมน้ำฉีดในบริเวณที่มีแมลงรบกวน ส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร เหง้าและราก วิธีใช้ในการประกอบอาหาร รากกระชายเป็นส่วนผสมของเครื่องแกง ขนมจีนน้ำยา และเป็นส่วนประกอบของขนมอีกหลายชนิดเพื่อดับกลิ่นคาวเนื้อและปลา เช่น ผัดเผ็ดปลาดุก แกงเผ็ดเนื้อ แกงป่า หลนปลาร้า ฯลฯ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=Vegetable&func=Vegetable18


กระโดน
ชื่อสมุนไพร : กระโดน ชื่อพื้นเมือง : กระโดนบก กระโดนโคก กะนอน ขุย แซงจิแหน่ เส่เจ๊อะบะ ปุย ปุยกระโดน ปุยขาว ผ้าฮาด พุย หุกวาง ต้นจิก ผักกระโดน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Careya sphaerica Roxb. วงศ์ : BARRINGTONIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ความสูงประมาณ 8-20 เมตร มีกิ่งก้านสาขามาก เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ขนาดเล็กแน่นทึบ เปลือกต้นเป็นสีเทาหนา และแตกออก เป็นแผ่นๆ บางที่อาจถูกไฟป่าเผาทำให้เปลือกออกสีดำคล้ำ
ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปไข่เรียงเวียนกันตามปลายกิ่ง ขนาดใบกว้าง 12-15 ซม. ยาวประมาณ 12-20 ซม. ขอบใบหยิกออกแบบสลับ ก้านใบยาว 2-3 ซม.
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวช่อๆ ละ 2-3 ดอก กลีบดอกและกลีบรองดอกอย่างละ 4 กลีบ ดอกมีสีขาวหรือสีขาวนวลและเหลืองนวลร่วงง่าย กลีบดอกยาวประมาณ 1-5 นิ้วโคนกลีบดอกเชื่อมกัน เป็นรูประฆังเกสรตัวผู้ยาวเป็นปลายพู่สีแดงจำนวนมาก
ผล ผลโตกลมกว้างประมาณ 5 ซม. ยาว 6.5 ซม. มีสีเขียวภายในมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดเป็นรูปไข่
รส : เปลือกต้น รสฝาดเมา, ใบ รสฝาด, ดอก รสสุขุม,เมล็ดรสฝาดเมา, ผล รสจืดเย็น
สรรพคุณทางยา :
เปลือกต้น-รสฝาดเมา แก้พิษงู สมานแผล แก้เคล็ดขัดยอก แก้ปวดเมื่อย
ใบ -รสฝาด สมานแผล
ดอก -รสสุขุม บำรุงร่างกาย แก้หวัด แก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ บำรุงร่างกายสตรีหลังคลอด
เมล็ด -รสฝาดเมา แก้พิษ
ผล -รสจืดเย็น ช่วยย่อยอาหาร ต้มผสมกับเถายางน่อง และดินประสิว เคี่ยวให้งวด ตากแห้งใช้ปิดแผลมีพิษ ปิดหัวฝี
ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน
การปรุงอาหาร : ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน รับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริกหรือ แจ่ว ส้มตำ ลาบ ก้อยยอดอ่อนรับประทานกับยำมดแดง
วิธีใช้ : ดอกและยอดกินเป็นผักได้ ดอกและน้ำจากเปลือกสดใช้ผสมกับน้ำผึ้งจิบแล้วชุ่มคอ แก้ไอและแก้หวัด เป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตร ผลกินได้ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาฝาดสมาน ผักกระโดนเป็นผักที่มีปริมาณสารออกซาเลท กรดออกซาลิค ในปริมาณค่อนข้างสูงถ้าได้รับสารโปรตีนในปริมาณต่ำอาจเป็นสาเหตุเบื้องต้นของการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ผักกระโดน (สด) 100กรัม ประกอบด้วยปริมาณออกซาเลท 59 มิลลิกรัมน้อยกว่าผักโขม 16 เท่าและน้อยกว่าผักชะพลู 12 เท่า
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg2


กระถิน
ชื่อสมุนไพร : กระถิน ชื่อพื้นเมือง : กระถินไทย กระถินบ้าน กะเส็ดโคก กะเส็ดบก ตอเบา สะตอเทศ สะตอเบา ผักก้านถิน ผักหนองบก กันเชด (เขมร) กระถินดอกขาว กระถินหัวหงอก กิถินน้อย กะตง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Leucaena leucocephala de Wit. วงศ์ : LEGUMINOSAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
· ต้น เป็นไม้พุ่มยืนต้นสูง 3-5 เมตร ลำต้นแก่สีน้ำตาล ขรุขระ และมักหลุดเป็นขุยออกมา
· ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ยาว 15-30 ซม. แตกออกเป็นช่อใบย่อย 3-10 คู่ ยาวประมาณ 10 ซม. ใบมีขนาดเล็กคล้ายใบมะขาม จำนวน 5-20 คู่ รูปขอบขนานปลายแหลมยาว 6-12 มม. กว้าง 1.5-5 มม.
· ดอก เป็นช่อขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ กลมฟูสีขาวมีกลิ่นหอมเล็กน้อย
· ผล เป็นฝักแบนยาว 12-18 ซม. กว้างประมาณ 2 ซม. มีเมล็ด 15-30 เมล็ด สีเขียว เมื่อแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
รส : ยอดและใบอ่อนมีรสมัน เมล็ดอ่อนมีรสมันอมหวานเล็กน้อย มีกลิ่น ราก รสจืดเฝื่อน
สรรพคุณทางยา :
ดอก รสมัน บำรุงตับ แก้เกล็ดกระดี่ขึ้นตา
ราก รสเจื่อน ขับลม ขับระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ
เมล็ดใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม (ascariasis)
ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : ยอดอ่อน ใบอ่อน ฝักอ่อน เมล็ดอ่อนการปรุงอาหาร : ยอดอ่อน ใบอ่อน ฝักอ่อน-แก่ รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก (ชาวอีสาน) ใช้เมล็ดอ่อนผสมในส้มตำมะละกอหรือรับประทานกับส้มตำ (ชาวใต้) ใช้เมล็ดอ่อน ใบอ่อนรับประทานกับหอยนางรมวิธีใช้ : ใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม ผู้ใหญ่ใช้ครั้งละ 25-50 กรัม เด็กใช้ 5-20 กรัม ต่อวัน รับประทานตอนท้องว่างในตอนเช้าเป็นเวลา 3-5
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg3

กระทือ
ชื่อสมุนไพร : กระทือชื่อพื้นเมือง : กระทือป่า กะแวน กะแอน แฮวดำ เปลพ้อ เฮียวข่า เฮียวแดง ทือ หัวทือชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber zerumbet Smith.วงศ์ : ZINGIBERACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น เป็นพืชล้มลุกจำพวกเดียวกับไพลหรือขิง ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีสีขาวอมเหลืองอ่อน มีกลิ่นฉุน ลำต้นสูงประมาณ 2 เมตร
ใบ ใบออกซ้อนกันเป็นแผงๆ เรียงสลับกัน ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม
ดอก ดอกออกเป็นช่อโผล่พ้นขึ้นจากลำต้นใต้ดิน ช่อก้านดอกยาวช่อดอกเป็นปุ่ม ส่วนปลายมีกลีบเลี้ยงสีเขียวปนแดงซ้อนกันอยู่แน่น กลีบดอกมีสีขาวนวลแทรกอยู่ตามเกล็ด
รส : กระทือ เนื้อในมีรสขม และขื่นเล็กน้อย
สรรพคุณทางยา : แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง แก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูกหรืออาจมีเลือดปนด้วย) บำรุงน้ำนม
ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : หน่ออ่อน เนื้ออ่อนในลำต้น ช่อดอกอ่อน
การปรุงอาหาร : หน่ออ่อน เนื้ออ่อนในลำต้น ช่อดอกอ่อน นำมาแกงเผ็ด แกงไตปลา ต้มจิ้มน้ำพริก ผัด ยำ
วิธีใช้ : หัวกะทือเป็นยารักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียดและปวดท้องโดยใช้หัวหรือเหง้าสดขนาด 20 กรัม ย่างไฟพบสุก เอามาโขลกกับน้ำปูนใสคั้นเอาน้ำมาดื่มที่มี อาการ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg4
(หมวด ข)
ขจร
ชื่อสมุนไพร : ขจรชื่อพื้นเมือง : สลิด ผักสลิดคาเลา สลิดป่า ผักสลิด กะจอน ขะจอน ผักขิกชื่อวิทยาศาสตร์ : Telosma minor Craib.วงศ์ : ASCLEPIADACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้ใหญ่หรือขึ้นตามร้านต้นไม้
ใบ ใบรูปร่างคล้ายหัวใจปลายเรียวแหลมยาว เหมือนใบต้นข้าวสาร ใบยาว 6-11 ซม. กว้าง 4-7.5 ซม. มีก้านใบยาว 1.2-2 ซม. ใบสีเขียวอมแดงเล็กน้อย
ดอก เป็นช่อกระจุกหรือเป็นพวงๆ คล้ายพวงอุบะ ดอกแข็งมีสีเขียวอมเหลือง ออกดอกตามซอกใบ ส่งกลิ่นหอมแรงกว่าดอกชำมะนาด หรือกลิ่นของใบเตยกลีบดอกสีเหลืองหรือเขียวอมเหลือง
ผล มีลักษณะกลมยาวคล้ายฝักนุ่นที่ยังเล็ก ผลแก่จะแตกออกได้ และมีเมล็ดใน ปลิวว่อนคล้ายนุ่นมีเมล็ดเกาะติดกับใยสีขาว
รส : ดอก ลูกอ่อน รสจืดหวานสรรพคุณทางยา : ยอดอ่อน ดอก ลูกอ่อน บำรุงธาตุ บำรุงตับ ปอด แก้เสมหะเป็นพิษ ราก ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมาส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : ยอดอ่อน ดอกตูมและบาน ผลอ่อนการปรุงอาหาร : ยอดอ่อน ดอก ผลอ่อน รับประทานสดหรือลวกให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก ดอกนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัด แกงจืด แกงส้มวิธีใช้ : ใช้รากผสมยาหยอดรักษาตา รับประทานทำให้อาเจียนถอนพิษเบื่อเมา ทำให้รู้รสอาหาร ดับพิษ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg5

ขนุน
ชื่อสมุนไพร : ขนุนชื่อพื้นเมือง : ขะหนุน หมักมี้ ขะนู นากอ โนน บักมี่ ขนุร ขะเนอ เนน ซีคึย ปะหน่อย นะยวยซะ มะหนุน ล้าง หมาด ยะนู หมากกลางชื่อวิทยาศาสตร์ : Artocarpus heterophyllus Lamk.วงศ์ : MORACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร มียางขาวทั้งต้นไม้เนื้ออ่อนแก่นสีเหลือง
ใบ ใบรูปร่างกลมรี เหนียวและหนา ปลายใบแหลมยาว 7-15 ซม. ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. ใบด้านบนสีเขียวเข้มเรียบเป็นมัน ส่วนผิวใบด้านล่างสาก
ดอก เป็นช่อออกเป็นกลุ่มช่อดอกตัวเมียและตัวผู้อยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกตัวผู้ออกที่โคลนกิ่ง/ลำต้น/ง่ามใบ ลักษณะของดอกเป็นแท่ง ยาวประมาณ 2.5 ซม. ช่อดอกตัวเมียเป็นแท่งกลมออกจากลำต้น ก้านขนาดใหญ่ ดอกตัวผู้มีกลิ่นหอมคล้ายส่าเหล้า
ผล เป็นผลรวมผลกลมและยาวขนาดใหญ่ หนัก 10-60 กิโลกรัม ในหนึ่งผลใหญ่จะมีผลย่อยหลายผล (เรียกยวง) เมล็ดกลมรีเนื้อหุ้มเมล็ดสีเหลือง ถ้าสุกมีกลิ่นหอมเปลือกหุ้มเมล็ดบางรับประทานได้
รส : ยอดขนุน รสฝาดอมเปรี้ยวเล็กน้อย ผลอ่อน รสมันหวานสรรพคุณทางยา : สรรพคุณ ฝาดสมานรักษาอาการท้องเสียส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : ยอดอ่อน ใบอ่อน ผลอ่อน ดอกตัวผู้อ่อน ซังการปรุงอาหาร : ดอกตัวผู้อ่อนรับประทานกับน้ำพริก ยอดอ่อนใบอ่อน รับประทานสดกับส้มตำ เมี่ยงและลวกร่วมกับน้ำพริก ยอดอ่อนและซังปรุงเป็นแกง ผลขนุนอ่อนต้มให้สุกรับประทานกับน้ำพริกปรุงเป็นซุป(ซุปขนุน) หรือแกงขนุน ผลอ่อน นำมาต้มเป็นผักจิ้มแล้ว ยังมีฤทธิ์ฝาดสมาน รักษาอาการท้องเสีย ผลสุก จะมีกลิ่นหอม เนื้อในจะมีสีเหลืองนำมารับประทานได้หรือผสมกับน้ำหวานรับประทานเป็นขนม เนื้อในสีเหลืองลื่น รับประทานรักษาโรคเกี่ยวกับทรวงอก รับประทานมากจะเป็นยาระบายอ่อน ๆ ใบสด ใช้ต้มน้ำให้สัตว์กิน ช่วยขับน้ำนมวิธีใช้ : เมล็ด ให้ใช้ประมาณ 60-240 กรัม ต้มสุกกิน จะมีรสชุ่ม ช่วยขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด มีน้ำนมน้อยหรือไม่มีน้ำนม ช่วยบำรุงร่างกาย เนื้อหุ้มเมล็ด ให้ใช้สด ผสมกับน้ำหวานกินบำรุงกำลัง หรือจะกินเป็นขนมก็ได้ ใบ ใช้สด นำมาตำให้ละเอียด อุ่นแล้วพอกแผล ใบแห้งให้บดเป็นผงโรย หรือใช้ผสมทาตรงที่เป็นแผลใช้สำหรับภายนอก รักษาแผลมีหนองเรื้อรัง ยาง จะมีรสจืด ฝาดเล็กน้อย ให้ใช้ยางสด ทาบริเวณที่บวมอักเสบ แผลมีหนองเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองเกิดจากแผลมีหนองที่ผิวหนัง แกนและราก ใช้แห้งประมาณ 30-60 กรัม นำมาต้มน้ำรับประทาน จะมีรสหวานชุ่ม รักษากามโรค และบำรุงเลือด
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg6

ขมิ้นขาว
ชื่อสมุนไพร : ขมิ้นขาวชื่อพื้นเมือง : ขมิ้นม่วงชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma mangga Val.&.Zijp.วงศ์ : ZINGIBERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น เป็นไม้ล้มลุกมีเหง้าหรือลำต้นใต้ดิน ใบเหมือนกับขมิ้นแต่ลำต้นเตี้ยกว่าขมิ้น
ใบ ใบเดี่ยวรอบๆ ขอบใบด้านนอกจะมีสีขาวแต้มอยู่ทั่วไป
เหง้า เหง้าใต้ดินมีสีขาวมีกลิ่นหอม แต่มีกลิ่นและรสเผ็ดน้อยกว่าขิง
รส : ขมิ้นขาว รสเผ็ดสรรพคุณทางยา : ขับลมในลำไส้ขมิ้นขาว สรรพคุณ ขมิ้นมีสารชนิดหนึ่งเรียกว่า curcumin ป้องกันมะเร็งได้ น้ำต้มขมิ้นมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี ใช้รักษาอาการนิ่วในถุงน้ำดี และโรคกระเพาะอาหารได้ ขมิ้นสดยังช่วยขับลม แก้ท้องอืดอีกด้วย ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร : เหง้าสดการปรุงอาหาร : เหง้าสด นำมารับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก หรือนำไปยำ แกงวิธีใช้ : ขมิ้นขาวสด เมื่อทาน 100 กรัมให้วิตามินซีถึง 16 มิลลิกรัม ส่วนขมิ้นชันให้วิตามินซี 12 มิลลิกรัม เหง้า-รักษาแผลในลำไส้ เจริญอาหาร ขับลม ระงับเชื้อ รักษาโรคผิวหนัง เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการท้องขึ้น ทำให้ผายลมและรักษาไข้ผอมเหลือง
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Vegetable&file=vg7

ข่า
ชื่อสามัญ/ชื่ออังกฤษ Galanga
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alpinia galanga SW.
วงศ์ Zingiberraceae
ชื่ออื่น / ชื่อท้องถิ่น ข่าตาแดง / ข่าหยวก (เหนือ) / ข่าหลวงลักษณะทางพฤกษ์ศาสตร์ ข่าเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นกอ มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เหง้ามีสีน้ำตาลอมแสด มีเส้นแบ่งข้อเป็นช่วงสั้นๆ เนื้อในเหง้ามีสีขาวรสขมเผ็ดร้อน แต่ไม่เผ็ดเหมือนกับขิง มีกลิ่นหอมฉุน ข่าเป็นพืชใบเดี่ยว ใบยาวปลายใบมนขอบใบเรียบ ก้านใบยาวเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ดอกเป็นช่อสีขาวนวล ผลกลมสีแดงส้ม มีรสเผ็ดร้อน ข่าเป็นพืชพื้นเมืองในเขตร้อน มีถิ่นกำเนินอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเอเชียเขตร้อน ปัจจุบันข่าใช้เป็นเครื่องเทศในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียมากกว่าที่อื่น ประเทสไทยมีการปลูกข่าทั่วไป เพราะข่าถือเป็นผักสวนครัวอย่างหนึ่ง สารสำคัญที่พบ เหง้าสดมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ซึ่งประกอบด้วยสารเมททิล-ซินนาเมต (Methyl-cinnamate) ซีนิออล (Cineol) การบูร (Camphor) และยูจีนอล (Eugenol) สรรพคุณ 1. ใช้เหง้าสดตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำปูนใส รับประทานครั้งละครึ่งแก้ว ช่วยขับลมแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเดิน และบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน 2. ใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนและแก้ลมพิษ โดยใช้เหง้าสดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาว ทาบริเวณที่เป็นบ่อยๆ จนกว่าจะดีขึ้น 3. สารสกัดจากข่านำมาประกอบเป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด เช่น ยารักษาแผลสด แก้โรคปวดบวมตามข้อ แก้โรคหลอดลมอักเสบ ยาธาตุและยาขับลม 4. ใช้ไล่แมลง โดยนำเหง้ามาทุบหรือตำให้ละเอียดเพื่อให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แล้วนำไปวางในบริเวณที่มีแมลง 5. ผลข่ามีสรรพคุณคล้ายกับเหง้า คือ ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง ท้องร่วง ฆ่าเชื้อบิด และช่วยย่อยอาหาร ผงจากผลแห้งสามารถรักษาอาการปวดฟันได้ โดยนำไปบดและทาบริเวณที่ปวด ส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร เหง้าและลำต้นอ่อน ดอก วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ข่าเป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งกลิ่นอาหารและดับกลิ่นคาวพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น ต้มยำปลา ข้าวต้มปลา ต้มข่าไก่ เป็นส่วนผสมในน้ำพริกเครื่องแกงต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมของลูกแป้งที่ใช้ทำข้าวหมากและเหล้า ดอกและลำต้นอ่อนใช้รับประทานเป็นผัก
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=Vegetable&func=Vegetable23


ขิง
ชื่อสามัญ/ชื่ออังกฤษ Ginger ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber offcinale Vern. Adrak วงศ์ Zingiberaceae ชื่ออื่น / ชื่อท้องถิ่น ขิงบ้าน ขิงป่า ขิงแครง ขิงเขา ขิงดอกเดียว (ภาคกลาง) ขิงแดง ขิงแกลง (จันทบุรี)
ขิงเผือก (เชียงใหม่) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ขิงเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินซึ่งมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า "เหง้า" เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อน แต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว ขิงจัดเป็นพืชตระกูลเดียวกับข่า ขมิ้น กระวาน เร่ว ขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง มีรสเผ็ดและกลิ่นหอม ยิ่งแก่ยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลำต้นบนดินมีลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอกมีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้นซึ่งไม่มีใบที่ก้านดอก ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผลมีลักษณะกลมแข็ง สารสำคัญที่พบ กลิ่นหอมเฉพาะตัวของขิง เกิดจากน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ในเหง้า ซึ่งมีสารสำคัญคือ เซสควิเทอร์ฟีน ไฮโดรคาร์บอน (SesQuiterpene hydrocarbon) เซสควิเทอร์ฟีน แอลกอฮอล์ (SesQuiterpene alcohols) โมโนเทอร์ฟีนอยด์ (Monoterpenoids) เอสเตอร์ (Ester) ฟีนอล (Phenol) รสเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุนเกิดจากน้ำมันชัน (Oleoresin) ในเหง้าเช่นเดียวกัน ส่วนประกอบอื่นๆ คือ แป้งและยางเมือก (Gum) นอกจากนี้ ขิงยังมีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายอีก คือ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ ฯลฯ
สรรพคุณ ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก วิธีใช้เป็นยารักษาโรค นำเหง้าสดย่างไฟให้สุก ตำผสมกับน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำเหง้าสดหมกไฟรับประทานเมื่อมีอาการเบื่ออาหาร 1. รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยนำขิงแก่สด ประมาณ 2-3 เหง้า มาทุบพอแตกต้มกับน้ำ 2. รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้เนื่องจากหวัด 3. รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ 4. รักษาอาการปวดประจำเดือน ในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแก่แห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่มบ่อยๆ
5. แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง 6. รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ เป็นหนอง
7. รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียด คั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผง พอกบริเวณฟันที่ปวด ส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร เหง้า หน่ออ่อน เนื้ออ่อนในลำต้น ช่อดอกอ่อน วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ขิงที่นำมาประกอบอาหารมีหลายรูปแบบคือ ขิงสด ขิงดอง ขิงแห้ง ขิงผง รวมทั้งน้ำขิงที่เป็นเครื่องดื่ม ขิงเป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งกลิ่นอาหาร เพิ่มรสชาติ และดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เช่น ใช้โรยหน้าปลานึ่ง โรยหน้าโจ๊กหรือผสมในน้ำจิ้มข้าวมันไก่ ต้มส้มปลา แกงฮังเล ยำกุ้งแห้ง ขิงยำ เป็นเครื่องเคียงของเมี่ยงคำ หรือทำเป็นขนมหวาน เช่น บัวลอยไข่หวาน มันเทศต้ม เป็นต้น นอกจากนี้ขิงดองยังเป็นอาจาดในอาหารอีกหลายชนิด เช่น ข้าวหน้าเป็ด หรืออาหารญี่ปุ่น รวมทั้งยังเป็นส่วนผสมในการแต่งกลิ่นอาหารหลายชนิด เช่น คุกกี้ พาย เค้ก พุดดิ้ง ผงกะหรี่ เป็นต้น ในประเทศแถบตะวันตกนำขิงไปทำเป็นเบียร์ คือ เบียร์ขิง (Ginger beer) ข้อสังเกต / ข้อควรระวัง 1. ขิงแก่มีสรรพคุณในทางยาและมีรสเผ็ดร้อนมากกว่าขิงอ่อน 2. ขิงแก่มีเส้นใยมากกว่าขิงอ่อน 3. ในเหง้าขิงมีเอนไซม์บางชนิดที่สามารถย่อยเนื้อสัตว์ให้เปื่อยได้ 4. สารจำพวกฟีนอลิค (Phenolic compound) ในขิงสามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=Vegetable&func=Vegetable17
(หมวด ค)
แคบ้าน
ชื่ออื่น ๆ : แคแดง ( เชียงใหม่ ) , แคบ้าน ( กลาง )ชื่อสามัญ : Cork Wood Tree, Vegetable Humming Bird Agatti , Sesban Sebania grandiflora ( Desv. ) Linn.วงศ์ : PAPILIONACEAEลักษณะทั่วไป ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก กิ่งนั้นจะเปราะง่าย แต่ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ใบ : ใบจะเป็นใบประกอบใบย่อมนั้นมีขนาดเล็ก ในหนึ่งใบจะมีใบย่อมเป็นจำนวนมาก ดอก : ดอกจะออกเป็นกระจุกประมาณ 2-4 ดอก คล้ายดอกถั่วทั่วไป แต่ดอกจะใหญ่และมีสีขาว ฝัก : จะมีลักษณะกลมแบน ๆ ยาว มีขนาดเล็กคล้ายถั่วฝักยาวแต่สีขาวกว่า เมื่อแก่จะแตกได้การขยายพันธุ์ : โดยการใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : ดอก ยอดอ่อน เปลือกต้น และรากสรรพคุณ : ดอก จะมีแคลเซียมและเหล็กสูง มีโปรตีนประมาณ 1.22% และมีไวตามินบี ดอกแคใช้เป็นอาหารเหมือน ผักทั่ว ๆ ไปได้ ยอดอ่อน ใช้รักษาไข้หัวลม เปลือกต้น จะมีรสฝาด เพราะมีสารแทนนิน นอกจากนั้นยังพบสาร triterpenoid saponin และ amino Acid ที่มีชื่อว่า canavanine เปลือกต้นใช้รักษาอาการท้องเดิน แต่ถ้ากินมาก ๆ จะทำให้อาเจียนได้ ราก น้ำ จากนำมาผสมกับน้ำผึ้ง ใช้เป็นยาขับเสมหะอื่น ๆ : เป็นพรรณไม้ที่โตเร็ว มักจะพบทั่วๆ ไปในเขตร้อน
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower15
(หมวด ต)
ตะไคร้ชื่ออื่น ๆ : คาหอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), จะไคร(เหนือ), เชิดเกรย, เหลอะเกรย (เขมร-สุรินทร์), ไคร(ใต้)ชื่อสามัญ : Lemon Grass, Lapineชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citrates (DC. Ex Nees) Stapf.วงศ์ : GRAMINAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก จะขึ้นเป็นกอใหญ่ สูงประมาณ 1 เมตร ลักษณะของลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง และตามปล้องมักมีไขปกคลุมอยู่ เป็นพรรณไม้ที่มีอายุหลายปี ใบ : ใบเดี่ยว แตกใบออกเป็นกอ รูปขอบขนาน ปลายใบแหลม และผิวใบจะสากมือทั้งสองด้าน เส้นกลางใบแข็ง ขอบใบจะมีขนขึ้นอยู่เล็กน้อย มีสีเขียวกว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2-3 ฟุต ดอก : ออกเป็นช่อกระจาย ช่อดอกย่อยมีก้านออกเป็นคู่ ๆ ในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับการขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอ หรือหัวออกมาปลูกเป็นต้นใหม่ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น หัว ใบ ราก และต้นสรรพคุณ :
ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
หัว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย ต้น ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วยถิ่นที่อยู่ : เป็นพืชในเขตร้อน และกึ่งเขตร้อนขอบทวีปเอเชีย และแอฟริกา ส่วนในประเทศไทย นั้นปลูกเป็นพืชสวนครัวมากกว่าตำรับยา : มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหายข้อมูลทางคลีนิค :
1. ภายในน้ำมันหอมระเหยนั้นจะมีสารเคมีพวก citral, citronella และ geraneol ซึ่งจะมีฤทธิ์สามารถยับยั้ง 2. เมื่อเอากระดาษที่ใช้ห่ออาหารทาด้วยอิมัลชั่นของน้ำมันตะไคร้ ซึ่งค้นพบได้ว่า สามารถป้องกันสุนัข และแมวได้ดีอยู่ได้นาน 7-10 วัน 3. น้ำมันหอมระเหยนี้จะมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดโรคพืชหลาย ชนิดในหลอดทดลองข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ใบและต้นแห้งนั้นจะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ส่วนปลายของสัตว์ที่ตัดแยกจากลำตัว เช่น กระต่าย ส่วนรากแห้งจะนำมาสกัดด้วยน้ำร้อนขนาด 2.5 ก./ก.ก. ซึ่งผลออก มาแล้วจะไม่มีผลในการลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายเลย และถ้านำทั้งต้นมาสกัดจาก แอลกอฮอล์อยู่ 95% จะมีฤทธิ์ขับพยาธิไส้เดือน โดยทำให้เกิดเป็นอัมพาตภายใน 24ชม. แต่พยาธินั้นจะไม่ตายเลยสารเคมีที่พบ : ในใบมีสารพวก Citral, Methylheptenone, Eugenol, Iso-orientin, Methylheptenol, Furfural, Luteolin, Phenolic substance, Cymbopogonol, Cymbopogone, Citral A, Citral B, Essential oil, Waxes, Nerol, Myrcene, l-Menthol, Linalool, Geraniol, Dipentene, d-Citronellic acid, Cymbopol, 1,4-Cineolieอื่น ๆ : น้ำมันระเหยภายในต้นนั้น จะมีปริมาณสูงขึ้นเมื่อดินมีความชื้นสูง และพบว่าการคลุมดินกันน้ำระเหยจะทำให้ได้น้ำมันหอมระเหยสูงเช่นกัน ซึ่งการใส่ปุ๋ยนั้นมีผลน้อยกว่า และถ้าใส่ปุ๋ยสูงเกินไปกลับจะทำให้ citral ลดลงและอุณหภูมิก็มีส่วนเช่นกัน ถ้าอุณหภูมิต่ำปริมาณน้ำมันก็ลด
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=ttor&func=ttor5

ตำลึง

ตำลึง เป็นไม้เถาล้มลุกอายุหลายปี เถาแก่ของตำลึงจะใหญ่ และแข็ง เถาตำลึงจะมีใบเป็นใบเดี่ยว ออกแบบสลับ ใยรูปร่างคล้าย 5 เหลี่ยม ขอบใบเว้าเข้าเล็กน้อย บางครั้งจะเว้ามาก ใบสีเขียวเรียบไม่มีขน ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกจากบริเวณซอกใบ ดอกแยกเพศกันอยู่คนละต้น ดอกมีกลีบสีเขียว ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก โคนตัดกันเป็นกรวย กลีบดอกสีขาว เกสรตัวผู้มี 3 อัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลรูปร่างกลมรี คล้ายแตงแต่เล็กกว่า ผลดิบสีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีแดง
ประโยชน์ทางอาหาร
ส่วนที่เป็นผักตามฤดูกาล ยอดอ่อน และผลอ่อนของตำลึงเป็นผัก มีตลอดปี และมีมากในช่วงฤดูฝน การปรุงอาหารนั้น ยอดอ่อนและใบอ่อนของตำลึง ไปลวก และนึ่งเป็นผักจิ้ม กับน้ำพริก และนำไปปรุงเป็นอาหาร เป็นแกงเลียง แกงจืด ผัด บางท้องถิ่นชาวบ้านนำเอผลอ่อนของตำลึง ไปดอง และนำไปรับประทานกับน้ำพริก หรือปรุงเป็นแกงได้ ยอดอ่อนของตำลึงเป็นผักที่คนไทยนิยมรับประทาน มีจำหน่ายในตลาดสด ทุกๆ ภาคของเมืองไทย ใบและเถาของตำลึงมีรสเย็น เป็นผักที่เหมาะในการรับประทานในฤดูร้อน จะช่วยผ่อนคลายความร้อนได้
ประโยชน์ทางยา
ใบ รสเย็น สรรพคุณดับพิษร้อน ถอนพิษ แก้แสบคัน แก้เจ็บตา ตาแดง ตาแฉะราก รสเย็น สรรพคุณดับพิษ รักษาโรคตาเถา สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง ลดน้ำตาลในเลือด

http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=210&mode=thread&order=0&thold=0
(หมวด ผ)
ผักชีชื่ออื่น ๆ : ผักหอมน้อย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ผักหอมป้อม, ผักหอมผอม (ภาคเหนือ), พังไฉ่ (จีน-แต้จิ๋ว), ผักหอม (นครพนม), ผักชีลาชื่อสามัญ : Corianderชื่อวิทยาศาสตร์ : Coriandrum sativum Linn.วงศ์ : UMBELLIFERAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นตั้งตรง ภายในจะกลวง และมีกิ่งก้านที่เล็ก ไม่มีขน มีรากแก้วสั้น แต่รากฝอยจะมีมาก ซึ่งลำต้นนี้จะสูงประมาณ 8-15 นิ้ว ลำต้นสีเขียวแต่ถ้าแก่จัดจะออกสีเขียวอมน้ำตาล ใบ : ลักษณะการออกใบจะเรียงใบคล้ายขนนก แต่อยู่ในรูปทรงพัด ซึ่งใบที่โคนต้นนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าที่ปลายต้น เพราะส่วนมากที่ปลายต้นใบจะเป็นเส้นฝอย มีสีเขียวสด ดอก : ออกเป็นช่อ ตรงส่วนยอดของต้น ดอกนั้นมีขนาดเล็ก มีอยู่ 5 กลีบสีขาวหรือชมพูอ่อน ๆ ผล : จะติดผลในฤดูหนาว ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมโตประมาณ 3-5 มก. สีน้ำตาล ตรงปลายผลแยกออกเป็น 2 แฉก ตามผิวจะมีเส้นคลื่นอยู่ 10 เส้นการขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น และผล สรรพคุณ : ทั้งต้น ช่วยเป็นยาละลายเสมหะ แก้หัดหรือผื่น ขับเหงื่อขับลม ท้องอืดท้องเฟ้อ ด้วยการนำเอาต้นที่แห้งประมาณ 10-15 กรัม หรือเอาต้นสด ๆ 60-150 กรัมนำไปต้มกับน้ำ หรือคั้นเอาเฉพาะน้ำและดื่ม ถ้าใช้ภายนอกให้ตำพอก หรือต้มเอาน้ำชะล้าง ผล ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร แก้หัด แก้บิด ริดสีดวงทวาร โดยการนำเอาผลแห้งบดเป็นผงทานหรือต้มกับน้ำ แต่ถ้าใช้ภายนอกให้เอาไปต้ม นอกจากนี้ยังดับกลิ่นคาวและและเนื้อข้อห้ามใช้ : อย่าทานมากจนเกินไป เพราะจะทำให้กลิ่นตัวแรง และตาลาย ลืมง่ายตำรับยา :
1. โรคริดสีดวงทวาร ให้นำผลไปคั่วแล้วบดทานผสมกับเหล้า วันละ 3-5 ครั้ง 2. บิดถ่ายเป็นเลือด ใช้ผล 1 ถ้วยชาตำให้เป็นผง ผสมน้ำตาลทรายทาน 3. ปวดท้อง หรือท้องอืดท้องเฟ้อ ให้ใช้ผลสัก 2 ช้อนชาต้มผสมกับน้ำทาน 4. เป็นหัดหรือผื่นแดงที่ยังออกไม่ทั่วตัว ซึ่งผลนี้จะช่วยขับออกมา โดยใช้ผลแห้ง120 กรัมใส่หม้อดินเผา หรือหม้อเคลือบมีน้ำเต็ม ต้มให้เดือดแล้วน้ำเอาไอรมให้ทั่วห้อง แล้วผื่นก็จะออกมาเอง 5. เด็กเป็นผื่นแดงไฟลามทุ่ง (Erysipelas) ให้ใช้ผักชีตำพอก 6. ปากเจ็บ คอเจ็บ ปวดฟัน นำเอาเมล็ดมาต้มกับน้ำประมาณ 5 ส่วนแล้วต้มให้เหลือ 1 ส่วนเอาน้ำอมบ้วนปากข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ผลที่แก่จะเป็นเครื่องเทศ กลิ่นหอมใช้ผสมกับยาอื่น จะช่วยกระตุ้นต่อมในกระเพาะอาหารและลำไส้ เพื่อที่จะให้ขับสารออกมามากขึ้น หรือน้ำดีมากขึ้น และในน้ำมันระเหยจะมีสารที่มีผลต่ออาการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยการจะยับยั้งการขยายพันธุ์สารเคมีที่พบ : ภายในผลจะมีน้ำมันระเหย 1-1.4% ไขมัน 26% และในน้ำมันนี้จะประกอบด้วยสารพวก เทอปีน (terpenes) อยู่หลายชนิด และพวกเจอรานิออล (geranilo) พวกแอลกอฮอล์การบูร (camphor) ฯลฯ และนอกจากนี้ยังมีน้ำตาลอ้อย (sucrose) น้ำตาลผลไม้ (fructose) น้ำกลูโคสทั้งต้น มีสารพวก ลินาโลออล (linalool โนนานาล (nonanal) ดีคาลนาล (decanal) และวิตามินซี 92-98 มก.%ในเมล็ด จะมีสารประกอบพวกไนโตรเจน 13-15% และสารอนินทรีย์ 7% มีน้ำมันระเหย 1% ซึ่งมีสารส่วนใหญ่ในน้ำมันระเหยนั้นเป็น d-linalool ประมาณ 70% นอกนั้นมี
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=phor&func=phor17
(หมวด พ)
พริกขี้หนูชื่ออื่น ๆ : พริกแด้, พริกแต้, พริกนก, พริกแจว, พริกน้ำเมี่ยง (เหนือ-พายัพ), พริก, พริกชี้ฟ้า,พริกขี้หนู (ภาคกลาง-เหนือ), ดีปลี (ใต้-ปัตตานี), ดีปลีขี้นก, พริกขี้นก, ใต้ (ภาคใต้), ลัวะเจีย (แต้จิ๋ว), มะระตี้ (สุรินทร์), ล่าเจียว (จีนกลาง), หมักเพ็ด (อีสาน)ชื่อสามัญ : Bird Chilliชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens Linn.วงศ์ : SOLANACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูงประมาณ 45-75 ซม. ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามกัน ลักษณะใบจะกลมรี ตรงปลายจะแหลม ดอก : จะออกตรงง่ามใบเป็นกลุ่มประมาณ 1-3 ดอก เป็นสีขาว มีกลีบดอกประมาณ 5 กลีบ ส่วนเกสรตัวผู้จะมีอยู่ 5 อัน จะขึ้นสลับกบกลีบดอก เกสรตัวเมียมี 1 อันและมีรังไข่ประมาณ 2-3 ห้อง ผล : ผลสุกจะเป็นสีแดง หรือแดงปนน้ำตาล ลักษณะผลมีผิวลื่นเป็นมัน ภายในผลนั้นจะกลวง และมีแกนกลาง รอบ ๆ แกนจะมีเมล็ดเป็นสีเหลืองเกาะอยู่มากมาย และเมล็ดจะมีรสเผ็ดการขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ดส่วนที่ใช้ : ผล ใช้เป็นยาสรรพคุณ : ผล ใช้ปรุงรสอาหาร ช่วยเจริญอาหาร และรักษาอาการอาเจียน รักษาโรคหิด กลาก รักษาโรคบิด โดยการใช้พริกสด 1 เม็ด หรือมากกว่านั้นใช้กิน และอาการปวดบวมเนื่องจากความเย็นจัด โดยใช้ผงพริกแห้งทำเป็นขี้ผึ้ง หรือสารละลาย แอลกอฮอล์ใช้ทาอื่น ๆ : พรรณไม้นี้เป็นพรรณไม้สวนครัวที่ขาดกันไม่ได้ เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นง่าย แต่บำรุงรักษายาก เพราะใบอ่อนของพริกอร่อย ทำให้แมลงต่าง ๆ ชอบกิน ผลแรกผลิใช้ผสมกับผักแกงเลียงช่วยชูรส ส่วนผลกลางแก่ใช้ใส่แกงคั่วส้ม จะได้อาหารที่มีรสเปรี้ยวอ่อน ๆ เพราะมีวิตามีซี และไส้พริกจะมีสารแคบไซซิน ที่ให้ความเผ็ดและมีกลิ่นฉุนเผ็ดร้อน เป็นเครื่องปรุงอาหารช่วยชูรส ใส่น้ำพริก ยำ ทำเป็นน้ำปลาดองและยังเป็นยาช่วยกระตุ้นทำให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุ หรือใช้ภายนอกเป็นยาทาถูนวดลดอาการไขข้ออักเสบถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาเขตร้อนข้อมูลทางคลีนิค :
1. รักษาอาการบวม ฟกช้ำ ให้ใช้พริกขี้หนูที่แก่จัดเป็นสีแดง แล้วตากแห้ง นำมาบดเป็นผงให้ละเอียด แล้วเทลงในวาสลินที่เคี่ยวจนเหลว กวนให้เข้ากัน แล้วนำไปเคี่ยวอีกจนได้กลิ่นพริก ใช้สำหรับทาถู รักษาอาการเคล็ด ถูกชน ฟกช้ำดำเขียว และอาการปวดตามข้อ ให้ทาตรงบริเวณที่เป็นวันละครั้ง หรือสองวันต่อครั้ง 2. รักษาอาการปวดตามเอวและน่อง ให้ใช้ผงพริกขี้หนูและวาสลิน หรือผลพริก วาสลิน และแป้งหมี เติมเหล้าเหลืองจำนวนพอประมาณ แล้วคนให้เป็นครีม ก่อนที่จะใช้ให้ทาลงบนกระดาษแก้วปิดบริเวณที่ปวด ใช้พลาสเตอร์ปิดโดยรอบ จะมีอาการทำให้เหงื่อออก การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น และรู้สึกหายปวด จากการตรวจสอบพบว่า ตามบริเวณที่พอกยาจะมีความรู้สึกร้อน และการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มขึ้นข้อมูลทางเภสัชวิทยา :
1. สารสกัดจากพริก ใช้ทาลงบนผิวหนังจะทำให้หลอดเลือด ตามบริเวณนั้นขยายตัว และการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น ถ้าใช้มากเกินไปอาจจะทำให้ระคายเคืองได้ 2. ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและฆ่าแมลง แคปซายซินจะมีผลยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus และเชื้อ Bacillus subtilis แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ Bacillus aureus และเชื้อBacillus coli นอกจากนี้สารที่สกัดจากพริก โดยวิธีการต้มด้วยน้ำ จะมีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง 3. ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร แคปซายซิน ทำให้เจริญอาหาร และกินอาหารได้มากขึ้น พริกสามารถช่วยกระตุ้นทำให้การเคลื่อนไหว ของกระเพาะอาหารสุนัขเพิ่มขึ้นและน้ำสกัดที่ได้จากพริก จะช่วยลดการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนปลาย ileum ของหนูตะเภาที่เกิดจากอะเซทิลโมลีนและฮีสตามีนได้ส่วนแคปซายซิน จะเพิ่มการบีบตัว ของลำไส้เล็กส่วนปลาย ileum ของหนูตะเภา แต่ถ้าให้แคปซายซินซ้ำอีกครั้งในขนาดเท่า ๆ กัน จะมีผลน้อยมากหรือไม่มีผลเลย 4. ผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต แคปซายซิน ที่สกัดจากพริก สามารถกระตุ้นหัวใจห้องบนของหนูตะเภา แต่เมื่อฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำของแมวและสุนัข จะทำให้ความดันโลหิต และหัวใจเต้นช้า หายใจขัด และอาการพวกนี้จะหายไป เมื่อเราตัดเส้นประสาทเวกัสออก (Vagotomy) ส่วนแคปซายซิน จะเพิ่มความดันโลหิตในแมว ที่ถูกตัดหัวออก (decapitated cat) ถ้าฉีดเข้าในหลอดเลือดดำของแมวที่ถูกวางยาสลบ จะทำให้ความดันโลหิตในปอดสูงขึ้น แต่เมื่อฉีดเข้าบริเวณหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจโดยตรง จะทำให้หลอดเลือดนั้นหดตัว และฤทธิ์ของแคปซายซินต่อหัวใจ ห้องบนของหนูตะเภานั้นจะเพิ่มทั้งความเร็ว และความแรงในการเต้น 5. ฤทธิ์อื่น ๆ หลังจากกินอาหารที่ใช้พริกขี้หนูแก่จัดสีแดงเป็นเครื่องปรุงแต่งนานประมาณ 3 สัปดาห์ จะทำให้สารกลุ่มคอรืติโซน ในพลาสมาเพิ่มขึ้น และปริมาณที่ขับออกทางปัสสาวะก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนสารที่สกัดได้จากพริก ถ้าฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักร จะมีฤทธิ์กดประสาท ทำให้เดินเซ เล็กน้อย และชักตายได้ เมื่อฉีดเข้าหลอดเลือดจะมีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูขาว และมีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาทรับความรู้สึกทั่วไป
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=phorp&func=phorp12

พริกไทยชื่ออื่น ๆ : พริกน้อย (ภาคเหนือ), โฮ่วเจีย (จีน)ชื่อสามัญ : Pepper, Black Pepperชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper nigrum Linn.วงศ์ : PIPERACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้เถาเลื้อย เป็นสีเขียวตลอดปี ลำต้นมีความสูงประมาณ 5 เมตร เถานั้นจะเกาะพันกับไม้ค้าง หรือพืชชนิดอื่น ๆ เถาจะมีข้อพองเห็นได้ชัด ต้นตัวผู้และต้นตัวเมียจะอยู่ต่างต้นกัน ใบ : จะออกสลับกัน ลักษณะของใบจะรีใหญ่มีความยาวประมาณ 8-16 ซม. และกว้างประมาณ 4-7 ซม. ตรงปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ท้องใบจะเป็นสีเขียวออกเทา และมีเส้นใบนูน ส่วนหลังใบจะเป็นสีเขียวเข้ม ดอก : จะออกเป็นช่อจากข้อ ช่อดอกนั้นเป็นสีขาวมีความยาวประมาณ 10 ซม. ส่วนก้านดอกร่วมจะยาวพอ ๆ กับก้านใบ เมล็ด (ผล) : มีลักษณะกลม จะออกเป็นพวง เป็นช่อทรงกระบอกกลมยาว ช่อผลอ่อนนั้นจะเป็นสีเขียว ส่วนผลแก่จะเป็นสีเหลืองและสีแดง ภายในจะมีเมล็ดกลมเป็นสีขาวนวลการขยายพันธุ์ : โดยการเพาะเมล็ดส่วนที่ใช้ : ผลและเมล็ด ใช้เป็นยาสรรพคุณ : ผลและเมล็ด ใช้แห้งประมาณ 0.6-1.5 กรัม นำไปต้มน้ำกิน หรือทำเป็นยาเม็ด หรือยาผงกิน และใช้สำหรับภายนอก โดยการบดเป็นผง ใช้ผสมหรือทำเป็นครีมทาหรือพอก ผลและเมล็ดนั้นจะมีรสร้อน และฉุน ใช้เป็นยารักษาอาการปวดกระเพาะอาหาร โดยใช้ลูกพุทราจีนเอาเมล็ดออก แล้วใส่พริกไทยล่อน ใช้ด้ายพันให้ดี เพื่อไม่ให้เมล็ดพริกไทยออกมา นำไปนึ่งด้วยไอน้ำประมาณ 7 ครั้ง แล้วบดให้เป็นผง ปั้นเป็นเม็ดเท่าเม็ดถั่วเขียว ใช้กินกับน้ำอุ่น ครั้งละ 7 เม็ดกับน้ำอุ่น หลังจากที่กินยานี้แล้ว อาการปวดจะลดลง แต่กระเพาะอาหารจะร้อน และรู้สึกหิว รักษาโดยการกินข้าว หรือข้าวต้ม หลังจากที่กินยานี้รักษาอาการปวดตามบริเวณหัวใจ ปวดท้อง และอาเจียนเป็นน้ำ ให้ใช้พริกไทยดำ ดองกับเหล้า แล้วจิบกิน หรือจะต้มเป็นน้ำแกงกินมีลมในกระเพาะอาหาร มีอาการอาเจียนและเรอ อาจเป็นติดต่อกันหลายวัน ให้ใช้ผงพริกไทยล่อนประมาณ 1 กรัม ขิงสดประมาณ 30 กรัม นำไปปิ้งไฟอ่อน ๆ พอหอม นำไปต้มเอากากออก แล้วอุ่นกินวันละ 3 เวลามีอาการปวด จุกใต้หน้าอก ให้ใช้พริกไทยดำ ยูเฮียงที่แห้งผสมกัน แล้วบดเป็นผง ให้ใช้ขิงสด หรือโกฏเชียง แล้วต้มเอาน้ำผสมเหล้า และผงยาที่บดไว้ใช้กินเป็นแผลเนื่องจากถูกความเย็นจัด ใช้พริกไทย แช่ในเหล้าขาว นานประมาณ 7 วัน แล้วนำกากมาถูทาที่แผลท้องเสีย และอหิวาตกโรคในฤดูร้อน ใช้พริกไทยบดให้เป็นผง แล้วปั้นเป็นเม็ด เท่าเม็ดถั่วเขียว กินครั้งละ 40 เม็ด หลังอาหารตะขาบกัด โดยใช้พริกไทยบด ให้เป็นผงทาถุงอัณฑะอักเสบ เป็นผื่นคัน มีน้ำเหลือง ให้ใช้พริกไทยบดเป็นผง ผสมน้ำประมาณ 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือด ใช้ชะล้างตามบริเวณแผล วันละประมาณ 2 ครั้ง กระเพาะอาหารผิดปกติ มี อาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ให้ใช้พริกไทย และปั้วแห่ แล้วล้างให้สะอาด ใช้อย่างละเท่า ๆ กัน บดให้เป็นผลผสมกับน้ำขิง ปั้นให้เป็นเม็ดใช้กินกับน้ำขิง ชักเนื่องจากร่างกายขาดแคลเซียม ให้ใช้พริกไทยล่อนและเปลือกไข่ไก่ นำไปผิงไฟให้เหลือง แล้วบดเป็นผง ผสมน้ำสุกกิน ปวดฟัน ให้ใช้พริกไทย พริกหาง บดเป็นผง แล้วผสมเป็นยาขี้ผึ้ง ปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วใช้อุดรูฟันที่ปวด อาการปวดจะลดลง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ใช้พริกไทย แช่ในน้ำส้มสายชูให้ดูดซับน้ำส้มให้มากที่สุด ตากให้แห้ง แล้วบดเป็นผง ผสมกับน้ำส้มสายชูที่แช่นั้น ปั้นเป็นเม็ด ใช้กินกับน้ำส้มสายชูที่เจือจาง รักษาอาการเมื่อยขบ เป็นเหน็บชาง่ายในฤดูหนาวหรือฤดูฝน โดยใช้ไข่ไก่กระเทาะด้านหนึ่งเทเนื้อในออก แล้วใช้เปลือกไข่นั้นตวงพริกไทย ให้เต็ม ผสมกับกะทิ เนื้อในไข่พริกไทย รวมกันบดให้ละเอียด อุ่นพอไข่สุกแล้วกินให้หมดขับลมและรักษาหวัด โดยใช้พริกไทยดำ หรือพริกไทยล่อน ใส่ต้มจืดกินตอนร้อน ๆอื่น ๆ : พริกไทยใช้เป็นเครื่องเทศ และยังใช้แต่งกลิ่นอาหารมานาน ทำให้อาหารมีรสชวนกิน แล้วพริกไทยยังมีส่วนช่วยถนอมอาหร ทำให้อาหารที่ใช้พริกไทยปรุงนั้น เก็บไว้ได้นานกว่าปรกติ พริกไทยมีกลิ่นหอมนั้น เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile Oil) อยู่ในพริกไทย นอกจากนี้แล้วในพริกไทยยังมีอัลกาลอยด์ Piperine อัลคาลอยด์ Piperine มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลงกล่าวกันว่า Peperine จะมีฤทธิ์ในการฆ่าแมลงวันดีกว่า Pyrethrin แต่ไม่เป็นพิษต่อคนถิ่นทีอยู่ : พรรณไม้นี้มีปลูกกันทั่ว ๆ ไป ในประเทศที่มีอากาศร้อนเช่น ในบราซิล หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ไต้หวัน มาเลเซียและในบราซิล หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ไต้หวัน มาเลเซียและในประเทศไทยมีปลูกกันมากที่จังหวัดจันทบุรีข้อมูลทางคลีนิค :
1. รักษาโรคตับอักเสบ โดยนำไข่ไก่ 1 ฟอง มาเจาะรูแล้วใส่พริกไทยดำ ลงไปในรู ใช้ดินสอพองปิดรูที่เจาะนั้น แล้วห่อด้วยกระดาษชื้น ๆ นำไปนึ่งให้สุก แล้วกินติดต่อกันประมาณ 10 วัน คิดเป็น 1 รอบของการรักษา ให้หยุดยา 3 วัน แล้วจึงทำการรักษารองที่สองต่อไป ปรากฏว่าได้ผลดี 2. รักษาโรคหลอดเลือดอักเสบเรื้อรัง และมีอาการหอบหืด 3. รักษาประสาทอ่อนเพลีย 4. รักษาโรคผิวหนัง 5. รักษาเด็กที่ท้องเสียจากระบบการย่อยอาหารไม่ดีข้อมูลทางเภสัชวิทยา : พริกไทยไม่มีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ คนที่ทดลองจะรู้สึกแสบ เผ็ดลิ้น ร้อนไปทั้งตัวและศีรษะ พริกไทยจะมีสรรพคุณคล้ายกับพริก แต่ระคายเคืองน้อยกว่า นิยมใช้ในทางขับลม บำรุงกระเพาะอาหาร สำหรับใช้ภายนอกนั้น เป็นยาช่วยกระตุ้นและทำให้โลหิตมาเลี้ยงมากขึ้น ส่วนอัลคาลอยด์ของพริกไทยนั้นมีฤทธิ์เป็นยารักษาอาการไข้และขับลม สารที่สกัดด้วยน้ำ อีเธอร์ และแอลกอฮอล์ จากพริกไทยพบว่า มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืด แต่มีผลต่อพยาธิเส้นด้าย และพยาธิใบไม้ไม่ปรากฏเด่นชัด ส่วนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากพริกไทยดำนั้น มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus และ Escherichia coli สาร oleoresin จากพริกไทยดำมีความเข้มข้นประมาณ 0.1% มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus และ Aspergillus versicolor
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=phorp&func=phorp13
(หมวด ม)
มะกรูด
ชื่ออื่น ๆ : ส้มกรูด, ส้มมั่วผี (ภาคใต้), มะหูด (หนองคาย), ส้มมะกรูด (ภาคกลาง)ชื่อสามัญ : Leech Lime, Kaffir Lime, Porcupine orangeชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC.วงศ์ : RUTACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก ลำต้นเป็นไม้เนื้อแข็ง ผิวเปลือกต้นเรียบ ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม ใบ : ใบมีลักษณะคล้ายกับใบไม้ 2 ใบ ต่อกันอยู่ ใบมีสีเขียวแก่ พื้นผิวใบเรียบเกลี้ยง เป็นมัน ไม่มีกลิ่นหอม ดอก : ดอกมีสีขาว คล้ายดอกมะนาว ดอกมีกลิ่นหอม ผล : ผลมีขนาดเท่ากับผลมะนาว ผิวเปลือกนอกขรุขระ ขั้วหัวท้ายของผลเป็นจุก ผลอ่อนมีเป็นสีเขียวแก่ เมื่อผลสุกก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดการขยายพันธ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำ และความชื้นในปริมาณปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยส่วนที่ใช้ : ใบ, ผล
สรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสด นำมาปรุงกับอาหารช่วยดับกลิ่นคาวผล ใช้ผลสด นำมาประกอบอาหาร หรือนำมาดองใช้เป็นยาฟอกเลือดในสตรี ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมจุกเสียด แก้โรคลักปิดลักเปิด และใช้บำรุงประจำเดือน หรือใช้ผลสด นำมาผิงไฟให้เกรียมแล้ว ละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ เป็นต้น
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=mor&func=mor1

มะแขว่น ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zanthoxylum limonella (Dennst.) Alston.วงศ์ : Rutaceaeชื่ออื่น : ลูกระมาศ หมากมาศ (กรุงเทพ) กำจัดต้น พริกหอม (ภาคกลาง) มะแขว่น หมักข่วง (แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะ : ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูง 12-20 เมตร เปลือกสีขาว มีหนามแหลมรูปกรวยปลายตรงหรือโค้งเล็กน้อย ขึ้นตามลำต้น กิ่ง และก้านใบ ใบ เป็นใบประกอบเรียงสลับแบบขนนก ใบยาว 15-20 เซนติเมตร ใบย่อย 10-28 ใบ อาจมีใบย่อยที่ปลายหรือไม่มีก็ได้ ก้านใบย่อยสั้น 0.5-1.0 เซนติเมตร ขนาดใบกว้าง 4-5 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร รูปรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน โคนใบเบี้ยว ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ปลายใบเรียวแหลม ดอก เป็นช่อแบบ panicle ออกที่ปลายยอดหรือซอกก้านใบ ช่อดอกยาว 10-21 เซนติเมตร ก้านช่อยาว ดอกเล็กสีขาวอมเขียวเป็นกระจุกอยู่ตอนปลายช่อ ดอกตัวเมียและดอกตัวผู้อยู่คนละต้น กลีบรองดอก 4 กลีบ กลีบดอก 4 กลีบ เรียงสลับกับเกสรตัวผู้ 4 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน อยู่เหนือเกสรตัวผู้ ภายในมี 1 ช่อง ผล รุปร่างกลมผลอ่อนสีเขียวเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-0.7 เซนติเมตร รสเผ็ดซ่ามาก เมื่อแก่เปลือกเป็นสีน้ำตาล และแตกอ้าเห็นเมล็ดสีดำเป็นมัน ออกดอก-ผล ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนแหล่งที่พบ : บ้านซำตะเคียน บ้านซำนกเหลือง ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ในเขตภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ขึ้นตามป่าดิบประโยชน์ทางสมุนไพร : ตำรายาไทยใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ด้านอื่นๆ ใช้ใบเป็นอาหาร ผลแก่และเมล็ด ใช้เป็นเครื่องเทศผสมเครื่องแกงของอาหารพื้นเมืองภาคเหนือ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=234&mode=thread&order=0&thold=0


มะนาวชื่ออื่น ๆ : มะนอเกละ, ปะนอเกล, มะเน้าด์เล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปะโหน่งกลยาน (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ส้มมะนาว (ทั่วไป), หมากฟ้า (เงี้ยง-แม่ฮ่องสอน), โกรยชะม้า (เขมร-สุรินทร์), ลีมานีปีห์ (มลายู-ภาคใต้)ชื่อสามัญ : Common lime, Limeชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia Swing.วงศ์ : RUTACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่ม ยืนต้น ลำต้นมีความสูงประมาณ .5-3.5 เมตร ผิวเปลือกลำต้นเรียบเกลี้ยง ส่วนกิ่งก้านอ่อนมีหนามยาวประมาณ 3-13มม. ใบ : ใบออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ หรือรูปรียาว ปลายใบแหลม โคนใบกลมมีปีกแคบ ๆ ริมขอบใบหยัก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-5.5 ซม. ยาวประมาณ 2.5-9 ซม. ดอก : ดอกออกเป็นช่อสั้น ๆ มีประมาณ 5-7 ดอก หรืออาจเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะของดอกมีสีขาว กลีบดอกมีประมาณ 4-5 กลีบ กลีบดอกเป็นรูปรียาว ปลายกลีบแหลม มีขนาดยาวประมาณ 7-12 มม. กว้างประมาณ 2.5-5 มม. ตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้และตัวเมียเล็ก ๆ อยู่ ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกลม พื้นผิวเรียบเกลี้ยง ขนาดของผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 นิ้ว ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม เมื่อแก่ผลก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เนื้อในผลจะแยกออกเป็นซีก ภายในเนื้อก็จะมีเมล็ด ลักษณะกลมรี สีเหลืองอ่อน ผลหนึ่งก็จะมีหลายเม็ดการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุย ไม่ชอบที่แฉะ หรือที่ที่มีน้ำขัง มีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่งส่วนที่ใช้ : ใบ ผล เปลือกผล รากสรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสดประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกินใช้ เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเสีย ช่วยขับลม และทำให้เจริญอาหาร เป็นต้น ผล ใช้ผลสด นำมาคั้นเอาน้ำกิน หรือกินสด เป็นยาแก้กระหาย แก้ร้อนใน บำรุงธาตุเจริญอาหาร แก้เลือดออกตามไรฟัน และถ่ายพยาธิ หรือใช้ผลดองเกลือ จนเป็นสีน้ำตาล ใช้เป็นยาขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ เป็นต้น เปลือกผล ใช้เปลือกผลแห้ง ประมาณ 10-15 กรัม ต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้ปวดท้อง ขับเสมหะ บำรุงกระเพาะอาหาร ขับลม เป็นต้น ราก ใช้รากสด ประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้ฟกช้ำจากการถูกกระแทก หรือจากการหกล้มแก้ปวด และแก้พิษสุนัขบ้ากัด เป็นต้นตำรับยา :
1. แก้กระหายน้ำ คอแห้ง ไม่มีเสียง ให้ใช้ผลสด นำมาคั้นเอาน้ำประมาณ 1 ถ้วยชา และ ผสมกับเกลือ น้ำตาลทราย ในปริมาณพอเหมาะ จากนั้นก็นำมาชงกับน้ำอุ่นหรือใช้ผสมกับน้ำแข็งรับประทาน 2. เมื่อถูกแมงป่องต่อย หรือตะขาบกัด ให้ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่ถูกกัด 3. คลื่นไส้ อาเจียน เป็นลม ให้ใช้เปลือกผลสด นำมาขยี้ผิวสูดดม 4. ปวดฝี ให้ใช้รากสด นำมาฝนกับสุราแล้วใช้ทาข้อมูลทางเภสัชวิทยา : ผลมะนาวเมื่อนำมาสกัด จะได้สาร naringin และ hesperidin ซึ่งสารนี้จะมีฤทธิ์ในการแก้อาการอักเสบของแผลต่าง
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=mor&func=mor16

มะระขี้นก

มะระขี้นก เป็นไม้เถา มีมือเกาะลำต้น เลื้อยพาดพันตามต้นไม้ หรือตามร้าน อายุเพียง 1 ปี ลำต้นมีสีเขียว ขนาดเล็กยาว ผิวมีขนขึ้นประปราย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะใบหยักเว้าลึกเข้าไปในตัวใบ 5-6 หยัก ปลายใบแหลม ใบมีสีเขียวอ่อน และมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมเล็กน้อย ใบกว้าง 4.5-11.5 เซนติเมตร ยาว 3.5-10 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ออกบริเวณง่ามใบ ดอกแยกเพศกัน แต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวผู้มีกลีบเลี้ยงห่อหุ้มเอาไว้ กลีบดอกรูปขอบขนาน หรือรูปไข่ หรือพบทั้งสองแบ ผลมะระมีรูปร่างคล้ายกระสวย ผิวขรุขระ เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3.5 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร เมื่อผลแก่จัดจะเห็นเป็นสีส้ม หรือแดงอมส้ม ผลคล้ายมะระจีน แต่มีขนาดใหญ่กว่า เมล็ดรูปไข่ตลับ ทุกส่วนที่อยู่เหนือดิน ของพืชมีรสขม
ประโยชน์ทางอาหาร
ส่วนที่เป็นผักตามฤดูกาล ยอดอ่อน ใบอ่อน และผลอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักออกยอดในฤดูฝน การปรุงอาหาร คนไทยทุกภาครับประทานมะระเป็นผัก ไม่นิยมรับประทานสด เพราะมีรสขม โดยเฉพาะผล จะขมมาก วิธีปรุงอาหาร โดยการนึ่ง หรือลวกให้สุกก่อน และรับประทานเป็นผักจิ้ม ร่วมกับน้ำพริก หรือป่นปลาของชาวอีสาน หรืออาจนำไปผัด หรือแกงร่วมกับผักอื่นก็ได้ การนำผลมะระไปปรุงเป็นอาหารอื่น เช่น ผัดกับไข่ เป็นต้น นิยมต้มน้ำ และเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อน หรืออาจใช้วิธีคั้นกับน้ำเกลือ เพื่อลดรสขมก่อนก็ได้ รสชาติยอดอ่อน ใบ และผลอ่อน มีรสขมเย็น สรรพคุณเป็นยาเจริญอาหาร ระบาย แก้ไข้ บำรุงร่างกาย
ประโยชน์ทางยา
ในตำรายาไทย บันทึกว่า มะระเป็นยาเจริญอาหาร ระบาย แก้โรคลมเข้าข้อ หัวเข่าบวม เป็นยาบำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ เป็นยาขับพยาธิในท้อง ส่วนน้ำต้มของใบมะระ มีสรรพคุณระบายอ่อนๆ น้ำต้มของผลมะระ สรรพคุณแก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บำรุงระดู
ในต่างประเทศ มีการใช้มะระเป็นยาเช่นกัน ในประเทศฟิลิปปินส์ โปโตริโก และศรีลังกา มีการใช้มะระรักษาโรคเบาหวาน แพทย์จีนเชื่อว่า มะระมีพลังของความเย็น สรรพคุณขับพิษ ผลมะระช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตา และผิวหนัง แม่บ้านชาวจีน มักจะปรุงอาหารด้วยมะระ ให้คนในครอบครัวรับประทาน ยามเป็นสิวที่ใบหน้า และร่างกาย
สำหรับประโยชน์ของมะระในการรักษาโรคเบาหวาน มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายเรื่อง ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า มะระมีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือดในคน และสารที่ออกฤทธิ์ คือ Polypeptide-p สำหรับเมล็ดของมะระ มีผู้พบสารลดน้ำตาลเช่นกัน แต่การใช้เมล็ดมะระ ต้องระมัดระวังฤทธิ์ที่ก่อให้เกิด การแท้งด้วย
http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=212&mode=thread&order=0&thold=0

แมงลักชื่ออื่น ๆ : มังลัก (ภาคกลาง), กอมก้อขาว (ภาคเหนือ), ผักอีตู่ (เลย)ชื่อสามัญ : Labiatae, Hairy Basilชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum americana Linn.วงศ์ : LABIATAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นมีความสูงประมาณ 2-3 ฟุต โคนลำต้นแข็ง ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ใบ : ใบออกเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบกลมรี ปลายใบแหลม มีสีเขียวอ่อน มีขนนิ่ม กลิ่นใบหอม ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ตามบริเวณปลายกิ่ง หรือยอด ดอกมีลักษณะเป็นกลีบสีขาว ดอกจะคงทนและอยู่ได้นาน ผล : เมื่อกลีบดอกร่วง ก็จะเป็นผล ผลมีขนาดเล็ก สีน้ำตาลเข้ม ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 4 เม็ดการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ทนต่อแสงแดดได้ดี ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : ลำต้น ใบ เมล็ดสรรพคุณ :
ลำต้น ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ไอ ขับเหงื่อ ขับลม กระตุ้น และแก้โรคทางเดินอาหาร เป็นต้น ใบ ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคท้องร่วง หรือใช้กากใบที่ตำทาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด เมล็ด ใช้เมล็ดแห้ง เมื่อนำมาแช่น้ำจะเกิดการพองตัวแล้วใช้กินเป็นยาระบาย ลดความอ้วน ช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ขับเหงื่อ และช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระเป็นเมือกลื่นในลำไส้ เป็นต้น
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=mor&func=mor34
(หมวด ส)
สาระแหน่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mental cordifolia Opiz.วงศ์ Labiatae ชื่ออื่น/ชื่อท้องถิ่น สะระแหน่สวน (ภาคกลาง) มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้) หอมด่วน หอมเตือน (ภาคเหนือ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ สาระแหน่เป็นพืชล้มลุกที่เลื้อยปกคลุมดิน มีลำต้นขนาดเล็กแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ใบเป็นรูปไข่หรือรูปวงรีเห็นเส้นใยชัดเจน ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ก้านใบสั้น ทั้งใบและลำต้นมีกลิ่นหอม แหล่งที่พบ พบได้ทั่วไปตามบ้าน เพราะนิยมปลูกเป็นพืชสวนครัว สารสำคัญที่พบ ทั้งใบและลำต้นมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) เป็นต้น สรรพคุณ สะระแหน่ มีฤทธิ์เย็นรสเผ็ด น้ำมันสาระแหน่ช่วยขจัดลมร้อน ใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน ใช้ผสมยาหรือยาอมเพื่อให้เย็นชุ่มคอ 1. รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง 2. รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ 3. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด 4. ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก 5. รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหู จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี 6. รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด ส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร ใบสดและลำต้น วิธีใช้ประกอบอาหาร ใบสะระแหน่ใช้ลดกลิ่นคาวของอาหารจำพวกพร่า ยำ และลาบ ใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่มและเหล้า

ข้อสังเกต/ข้อควรระวัง 1. ใบสะระแหน่สดและยอดอ่อน มีสรรพคุณดีกว่าใบสะระแหน่แห้ง 2. มีรายงานว่าใบสะระแหน่สามารถระงับอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวด วิธีปลูก ขยายพันธุ์โดยการปักชำ ใช้ลำต้นและกิ่งก้านที่ไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป ปักลงในภาชนะหรือแปลงเพาะชำ โดยปักให้กิ่งเอนไปตามดิน รดน้ำให้ชุ่มพอสมควร ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=Vegetable&func=Vegetable31
(หมวด ห)
หอม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium cepa linn .cv group Aggregatum
ชื่อวงศ์ :Ascalonicum auct . non linn .
ชื่ออื่นๆ :ปะเซอก้อ ปะเซะส่า หอมแดง หอมไทย หอมบัว หอมเล็ก หอมหัว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ไม้ล้มลุก สูง 20-30 ซม. มีหัวใต้ดิน เกิดจากใบเกร็ด เรียงซ้อนกันเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่กว้าง 1-3.5 ซม ยาว 1.5-4 ซม. มีหลายหัวเกาะกลุ่มด้วยกัน เปลือกหุ้มสีม่วงหรือสีน้ำตาล ใบเดี่ยว เกิดจากรากเรียงช้อนกัน รูปแถบ กว้าง 3-10 มม. ยาว 10-35 ซม. ดอกช่อซี่ร่ม รูปทรงกลม เกิดจากหัวใต้ดิน ดอกรูประฆังหรือคนโท กลีบรวม 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง สีเขียวถึงขาว ผลแห้งแตกได้ เป็น 3 ภู เมล็ดแบนสีดำ
สรรพคุณทางยา:
หัว ขับลมในลำไส้ แก้หวัด คัดจมูก แก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้ไข้สันนิบาต แก้ไข้อันบังเกิดแก่จักษุ แก้ไข้อันบังเกิดแก่ทรวงแก้โรคตา ขับเสมหะ แก้โรคในปาก บำรุงเส้นผมแก้ลมพรรดึก เจริญไฟธาตุ แก้กำเดา แก้อาการเมาค้างจากเหล้า แก้สะอึกแก้ท้องเสีย เป็นยาถ่าย ทำให้อาเจียน ขับปัสสาวะ บำรุงโลหิต
ใบ :แก้ท้องผูกแก้ลม เจริญอาหาร แก้กำเดา แก้หวัด แก้ฟกช้ำ
เมล็ด :แก้กินเนื้อสัตว์เป็นพิษ แก้อาเจียนเป็นเลือด
วิธีใช้และการรักษา : นำหอมกินกับข้าว เพื่อขับลม
ข้อดีของสมุนไพร :ใช้เป็นยารักษาโรค
ข้อเสียของสมุนไพร :กลิ่นฉุน
ถิ่นที่อยู่คนโบราณนิยมปลูกไว้ในสวนหลังบ้าน หรือปลูกในกระถาง ปลูกได้ดีใน ดินร่วนปัจจุบันนี้บางบ้านยังปลูกไว้ใช้ประโยชน์บ้าง และที่สำคัญ คือ ปลูกเพื่ออนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานได้รู้จัก
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=Vegetable&func=Vegetable41

โหระพา
ชื่ออื่น ๆ : ห่อกวยซวย, โหระพาไทย, ห่อวอซุ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)ชื่อสามัญ : Common Basil, Sweet Basilชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum Linn.วงศ์ : LABIATAEลักษณะทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงมีความสูง 8-28 นิ้ว ลักษณะของลำต้น และกิ่งก้านเป็นเหลี่ยม แตกกิ่งก้านสาขามีมาก ผิวเปลือกลำต้นมีเป็นสีเขียวอมม่วง และมีขนปกคลุมทั้งลำต้นมีกลิ่นหอม ใบ : ใบออกเป็นใบเดี่ยว มีลักษณะเป็นรูปรียาว ปลายและโคนใบเรียวแหลม ริมขอบใบเรียบ หรือมีหยักเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-3.5 ซม. ยาวประมาณ 2-6 ซม. ใบมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวประมาณ 0.7-2 ซม.
ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ชั้น ๆ คล้ายฉัตร ออกอยู่ตามบริเวณปลายยอด ลักษณะของดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง เชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีสีขาวหรือสีแดงเรื่อ กลีบดอกยาวประมาณ 9 มม. ผล : พอดอกร่วงโรยก็จะติดผล เป็นสีน้ำตาล ผลหนึ่งมีเมล็ด .4 เม็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกลมรี มีขนาดยาวประมาณ 2 มม.การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง นิยมปลูกทั่วไปในครัวเรือน ขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกประเภท ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : ลำต้น เมล็ด รากสรรพคุณ : ลำต้น ใช้ลำต้นสด ประมาณ 6-10 กรัม นำมาต้มเอาน้ำ กินเป็นยาแก้ปวด แก้หวัด ปวดกระเพาะอาหาร ท้องเสีย จุกเสียดแน่นท้อง ทำให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับลม ปวดศีรษะ ปวดข้อ หนองใน หรือใช้ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทา หรือใช้พอกแผลฟกช้ำจากการหกล้ม หรือถูกกระทบกระแทก แผลที่เป็นหนองเรื้อรัง แก้พิษถูกงูกัด แมลงสัตว์กัดต่อย เป้นกลากเกลื้อน และใช้หยอดหูแก้ปวดหู เป็นต้นเมล็ด ใช้เมล็ดแห้ง นำมาต้มหรือแช่น้ำกิน เป็นยาระบาย หรือใช้แก้โรคตาแดงมีขี้ตามาก และต้อตา เป็นต้น ราก ใช้รากสดหรือรากแห้ง นำมาเผาไฟให้เป็นเถ้า บดให้ละเอียดใช้พอก บริเวณที่เป็นแผลเรื้อรัง แผลมีหนองในเด็ก
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Herbs&file=hhor&func=hhor27

ผลไม้สมุนไพร

(หมวด ก)
กล้วยชื่ออื่น ๆ : กล้วยหอม กล้วยใต้ กล้วยพุทธมาลี กล้วยน้ำว้า กล้วยพัด กล้วยหอมจัทน์ กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว กล้วยน้ำ กล้วยน้ำไท กล้วยเล็บมือ กล้วยนาก กล้วยส้ม กล้วยหักมุก กล้วยหอม กล้วยมณีอ่องชื่อสามัญ : Lacantan, Sucrier,Red Fig Banana,Banana Flower,Martinigue Banana,Traveller’s treeชื่อวิทยาศาสตร์ : Musa paradisiacal L.Var. sapientum O.Ktzeวงศ์ : MUSACEAEลักษณะทั่วไป ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นที่เห็นจะเกิดจากก้านหุ้มซ้อนกันจะมีลำต้นขนาดใหญ่และสูงประมาณ 25 เมตร ใบ : จะมีสีเขียว เป็นแผ่นยาวประมาณ 1.53 เมตร กว้าง 40-60 ซ.ม เส้นของใบจะขนานกันแกนใบจะเห็นได้ชัดเจน ก้านใบยาวกว่า 30 ซม. ดอก : มีลักษณะที่ห้อยย้อยลงมายาวประมาณ 60-130 ซม. เป็นช่อหนึ่งเรียกว่า หัวปลี และตามช่อนั้นจะมีกาบหุ้มช่อมีสีแดงปนม่วงเป็นรูปกลมรี ยาว 15-30 ซม. ส่วนที่เป็นฐานดอกจะมีตัวเมีย ส่วนปลายจะมีเกสรตัวผู้ ช่อดอกที่จะเจริญกลายเป็นผลนั้น เกสรตัวเมียและผู้จะร่วงไป ผล : เมื่อดอกเจริญกลายเป็นผลแล้วซึ่งผลนี้ จะประกอบด้วยหวีกล้วย เครือละ 7-8 หวี ในแต่ละหวีจะมีกล้วยอยู่ประมาณ 10 กว่าลูก ผลจะมีรูปร่างอย่างไรขึ้นอยู่กับ ชนิดของต้น เมื่อผลออกมาใหม่ ๆ จะมีสีเขียวแต่พอแก่พอที่จะรับประทานได้จะเป็นสีเหลือง น่าทานมาก แต่ละต้นจะให้ผลครั้งเดียวเท่านั้นการขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อหรือแตกเง้า ไม่ชอบดินที่มีน้ำขัง จะอยู่ในดินที่ร่วนซุย และดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดีส่วนที่ใช้ : ยางกล้วยจากใบ ผลดิบ ผลสุก(ทุกประเภท) ผลดิบ หัวปลีสรรพคุณ : ยางกล้วยจากใบ ใช้ห้ามเลือด โดยใช้ยางกล้วยจากใบหยอดลงที่บาดแผล ผลดิบ แก้โรคท้องเสีย ยาฝาดสมาน แผลในกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โดยใช้กล้วยดิบทั้งลูก บดกับน้ำให้ละเอียดและใส่น้ำตาล รับประทาน(หรือไม่อาจใช้กล้วยดิบตากแห้งบดเป็นผงเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็น อาจใช้ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่นกิน) ผลสุก ใช้เป็นอาหาร เป็นยาระบายสำหรับผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือผู้ที่อุจจาระแข็ง วิธีใช้โดยใช้กล้วยสุก 2 ผล ปิ้งกินทั้งเปลือก หัวปลี แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=38
(หมวด ต)
แตงโม
ชื่ออื่น ๆ : แตงอุลิด, หมากโมชื่อสามัญ : water melonชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrullus lanatus Mats & Nakaiวงศ์ : CUCURBITACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยชนิดหนึ่ง ที่ลำต้นจะเลื้อยทอดไปตามพื้นดิน ลำเถานั้นจะโตราว ๆ นิ้วก้อยหรืออาจจะเล็กกว่านี้ก็ได้ เถามีสีเขียว ใบ : ออกใบเดี่ยวตามข้อเถา ซึ่งใบนี้จะมีสีเขียว จะยาวประมาณ 1 คืบ หรืออาจจะยาวและสั้นกว่านี้ก็มี ตามใบจะมีลายสีขาวประทั่ว โคนใบกว้าง ปลายใบแหลมเล็ก ขอบใบจะเว้าลึก ใบของแตงโมนี้ความกว้างจะน้อยกว่าความยาว ดอก : ออกตรงส่วนยอดของเถา มีสีเหลือง ขนาดเท่ากับหัวแม่มือ ผล : มีทั้งชนิดกลมและชนิดยาว อย่างกลมก็โตราว ๆ ลูกมะพร้าวอย่างยาวก็ขนาดเท่าลูกฝัก แต่อย่างกลมนั้นเนื้อในจะแดงมีรสหวานกว่า เมื่อยังอ่อนเนื้อในเป็นสีขาวซึ่งเป็นผักใส่แกงได้ ผลยาวจะเป็นสีแดงอ่อนหรือสีเหลืองก็มี เมล็ดในของผลทั้งสองอย่างนี้เหมือนกัน คือจะเป็นเม็ดแบน ๆ เมื่ออ่อนสีขาว พอแก่กลายเป็นสีน้ำตาลอมดำ ซึ่งเรานำมารับประทานได้เช่นกัน ส่วนมากจะรู้จักกันดีมีชื่อว่า “เมล็ดแตงโม” และเราจะแกะกินเฉพาะเนื้อในเมล็ดเท่านั้น หวานมันอร่อยการขยายพันธุ์ : เป็นไม้กลางแจ้ง ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดส่วนที่ใช้ : ราก ผลสรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ ผล บางคนได้เชื่อกันว่าถ้าใครที่ท้องมาน ให้ทานเนื้อแตงโมแก่โรยน้ำตาล ทานให้หมดลูกซึ่งจะช่วยขับน้ำในท้องออกแล้วท้องมานก็จะยุบได้ (แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพิสูจน์)
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=203
(หมวด ท)
ทับทิม
ชื่ออื่น ๆ : มะเก๊าะ (ภาคเหนือ), มะก่องแก้ว พิลาขาว (น่าน), หมากจัง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), พิลา (หนองคาย), เจียะลิ้ว (จีน)ชื่อสามัญ : Punic Apple, Pomegranate, Granades, Granats, Carthaginian Appleชื่อวิทยาศาสตร์ : Punica granatum Linn.วงศ์ : PUNICACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น หรือพรรณไม้พุ่มขนาดกลาง ลักษณะผิวเปลือกลำต้นเป็นสีเทา ส่วนที่เป็นกิ่งหรือยอดอ่อนจะเป็นเหลี่ยม หรือมีหนามแหลมยาวขึ้น ใบ : ใบมีลักษณะเป็นรูปยาวรี โคนใบมนแคบ ส่วนปลายใบเรียวแหลมสั้น ผิวหลังใบเกลี้ยงเป็นมัน ใต้ท้องใบจะเห็นเส้นใบได้ชัด ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-1.8 ซม. ยาวประมาณ 2.5-6 ซม. ดอก : ดอกออกเป็นช่อ หรืออาจจะเป็นดอกเดียว ในบริเวณปลายยอด หรือง่ามกิ่ง ลักษณะของดอกมีเป็น สีส้ม สีขาว หรือสีแดง ดอกหนึ่งมีกลีบดอกประมาณ 6 กลีบ ปลายกลีบดอกจะแยกออกจากกัน ตรงกลางดอกมีเกสรตัวเมีย และตัวผู้ซึ่งมีอับเรณูเป็นสีเหลือง ขนาดของดอกบานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 ซม. ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปค่อนข้างกลม ผิวเปลือกนอกหนาเกลี้ยง ผลเมื่อแก่หรือสุกเต็มที่มีสีเหลืองปนแดง และลักษณะของผลจะแตก หรืออ้างออก ข้างในผลก็จะมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก เป็นรูปเหลี่ยม มีสีชมพูสดการขยายพันธุ์ : ทับทิม เป็นพรรณไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินปนทรายหรือดินที่มีกรวด มีการขยาย พันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง หรือการใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : เปลือกลำต้น ใบ ดอก เปลือกผล เมล็ด และเปลือกรากสรรพคุณ :
เปลือกลำต้น ในเปลือกของลำต้นจะมีอัลกาลอยด์ประมาณ 0.35-0.6% และอัลกาลอยด์ในเปลือกของลำต้นนี้มีชื่อเรียกว่า Pelletierine และ Isopelletierine ซึ่งใช้เป็นยา ถ่ายพยาธิได้ผลดีใบ ใช้ใบสดนำมาต้ม กรองเอาน้ำใช้ล้างแผลเนื่องจากมีหนองเรื้อรังบนหัว หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดแล้วเอาไปพอกในบริเวณที่เป็นแผลถลอก เนื่องจากหกล้มได้ เป็นต้น ดอก ใช้ดอกที่แห้งประมาณ 3-6 กรัม นำมาต้มกรองเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ให้เลือดกำเดา แข็งตัว และแก้หูชั้นในอักเสบ หรือใช้ดอกแห้งนำมาบดให้ละเอียดแล้วใช้ทา หรือโรยบริเวณบาดแผลที่มีเลือดออก เปลือกผล ใช้เปลือกผลที่แห้งแล้วประมาณ 2.5-4.5 กรัม นำมาบดให้ละเอียด หรือนำ มาต้มกินน้ำ ใช้เป็นยาแก้โรคท้องเสีย โรคบิดเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด ถ่ายพยาธิ ตกขาว ดากออก แผลหิด และกลากเกลื้อนเป็นต้น เมล็ด ใช้เมล็ดที่แห้งแล้วประมาณ 6-9 กรัม นำมาบดให้ละเอียด หรือทำเป็นยาก้อน กิน เป็นยาแก้โรคปวด จุกแน่น เนื่องจากโรคกระเพาะอาหาร บำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร และแก้ท้องร่วง เป็นต้น เปลือกราก ใช้เปลือกรากที่แห้งแล้ว ประมาณ 6-12 กรัม นำมาต้มน้ำกิน เป็นยาแก้ระดู ขาว ตกเลือด ถ่ายพยาธิ หล่อลื่นลำไส้ แก้ท้องเสีย และโรคบิดเรื้อรัง เป็นต้นอื่น ๆ : ในประเทศอินเดียทางด้านแถบตะวันตกเฉียงใต้ ได้มีการใช้เปลือกผลทับทิม นำมา ย้อมผ้า ซึ่งใช้ผสมกับครามหรือขมิ้น จะได้สีผ้าที่ย้อมนั้นเป็นสีน้ำตาลอมแดง แต่ถ้าใช้เปลือกผลอย่างเดียวก็จะได้เป็นสีเขียว ผ้าที่ย้อมชนิดนี้เรียกว่า RAKREZIข้อห้ามใช้ :
1. เป็นบิด ท้องเสีย หรือท้องผูก ไม่สมควรใช้เปลือกราก เป็นยาแก้ 2. การใช้เปลือกรากเป็นยาแก้ ควรจะใช้อย่างระมัดระวังให้มาก เพราะเปลือกรากมี พิษ ถิ่นที่อยู่ : ทับทิม เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชียตำรับยา :
1. บาดแผลจากเชื้อรา แผลเรื้อรังที่ผิวหนัง ให้ใช้เปลือกรากพอประมาณ นำมาต้มใช้น้ำล้างแผล 2. เป็นบิดเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นเลือด ให้ใช้เปลือกผล นำมาผิวไฟให้เกรียม แล้วนำมาบดให้ละเอียด ประมาณ 3-6 กรัม ผสมกับน้ำข้าวกิน หรือมะเขือยาว 1 ลูก แล้วต้มเอาน้ำดื่มกิน 3. เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ถูกน้ำร้อนลวก และแผลจากไฟไหม้ ใช้คั่วหรือผิงให้เกรียม แล้วบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันพืชคลุกให้เข้ากันแล้วใช้ทาบริเวณแผล หรือใช้เปลือกผลและสารส้ม ในประมาณเท่า ๆ กัน แล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วใช้ทาบริเวณที่เป็น 4. เท้าที่เป็นแผลเน่าเรื้อรัง ให้ใช้เปลือกผลนำมาต้มเคี่ยวน้ำให้เหลว แล้วปล่อยให้ตก ตะกอน จากนั้นก็ใช้ทาบริเวณแผลที่เป็นทุกวัน 5. แก้เลือดกำเดาไหลไม่หยุด - ใช้ดอกทับทิมสด โขลก หรือหั่นให้เป็นฝอย แล้วใช้อุดรูจมูก - ใช้ดอกที่แห้งแล้ว นำมาตำให้ละเอียด ประมาณ 0.3 กรัม ใช้เป่าเข้ารูจมูก - ใช้ดอกแห้งประมาณ 0.3 กรัม และดอกปอแก้วประมาณ 3 กรัม นำมาบด ผสมกันให้ละเอียด แล้วนำมาต้มหรือใช้ผสมกับน้ำกิน ในประมาณ 3 กรัม ต่อน้ำ 1 แก้ว 6. ขับพยาธิตัวกลม และตัวตืด ให้ใช้เปลือกรากที่แห้งแล้ว ประมาณ 18 หรือ 25 กรัม นำมาตำให้ละเอียดแล้ว ใช้ต้มน้ำกิน หรือรินเอาน้ำต้มใส่ข้าวข้น ๆ กินก่อนอาหาร 7. หญิงที่เป็นระดูขาว หรือตกเลือดมากผิดปกติ ให้ใช้รากที่สด ประมาณ 1 กำมือ นำมาเผาไฟให้เกรียม จากนั้นเอาไปต้ม หรือเคี่ยวกับน้ำให้ข้น ใช้กินครั้งละ 1 แก้ว 8. นิ่วในไต ให้ใช้รากสด และลำต้นกิมจี่เช่า ในปริมาณ 30 กรัม เท่ากัน นำมาต้มใช้ น้ำกิน
9. แผลที่ถูกคมมีด หรือของมีคมทุกชนิด ที่มีเลือดไหลใช้ดอกที่แห้งแล้ว นำมาตำให้ละเอียดแล้วใช้พอกบริเวณที่เป็นแผล 10. หูชั้นกลางอักเสบ ให้ใช้ดอกสดนำมาผิงไฟให้เกรียมบนก้อนอิฐ จากนั้นนำมาบด ให้ละเอียดผสมกับพิมเสนพอประมาณ ใช้เป่าเข้าหู 11. สำหรับเด็กที่ไม่เจริญอาหาร อาเจียนเป็นโลหิต หรือจมูกและฟันไม่ปรกติ ให้ใช้ ดอกสด (แห้ง) นำมาต้มน้ำกินตำรับยา (สัตว์) :
1. ถ่ายพยาธิตัวกลมในสุกร ให้ใช้เปลือกรากและผลเล็บมือนาง ในประมาณ 15 กรัม เท่ากัน และเมล็ดหมากอีก 10 กรัม นำมาต้มน้ำให้กิน 2. ถ่ายพยาธิตัวตืดกับสัตว์เลี้ยง ให้ใช้เปลือกรากนำมาบดให้ละเอียด แล้วดอง หรือ แช่ในน้ำประมาณ 4-5 ชม. จากนั้นน้ำไปต้มให้สัตว์กิน (เปลือกรากผง สัตว์ที่มีอายุมาก ให้ใช้ในปริมาณ 30-60 กรัม สำหรับสัตว์ที่มีอายุอ่อนหรือปานกลาง ให้ใช้ในปริมาณ 10-12 กรัม) 3. ม้าและวัว ที่อ่อนแอหมดกำลัง ให้ใช้เปลือกของผลที่แห้งแล้วในปริมาณ 30 กรัม นำมาตำให้ละเอียดใช้ละลายน้ำให้กิน 4.ลูกสุกรเป็นโรคบิด ให้ใช้เปลือกผลประมาณ 3 กรัม และเจียวซัวจา ผสมกันแล้ว คั่วให้แห้ง แล้วเติมใบกี๊บักประมาณ 10 กรัม นำมาต้มเอาน้ำให้กิน 5. ห้ามเลือดสำหรับบาดแผลข้างนอก ให้ใช้ดอกที่แห้งแล้วบดให้ละเอียดใช้โรย บริเวณที่เป็นแผลข้อมูลทางคลีนิค :
1. บิดอมีบา จากการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคบิดอมีบา ในจำนวน 40 คน โดยใช้เปลือก ผลเข้มข้นประมาณ 60% ใช้ต้มน้ำกินทุก ๆ หลังอาหารในประมาณครั้งละ 20 มล (ในช่วงที่กินยา ผู้ป่วยอาจมีอาการหูอื้อ หรืออึดอัดกังวลใจบ้าง แต่ต่อมาอาการก็จะหายเอง) ผลปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ 2. ถ่ายพยาธิตัวตืด จากการทดลองกับคนไข้ 9 คน โดยการใช้เปลือกรากแห้ง หลังจากขูดผิวนอกออกแล้วประมาณ 25 กรัม นำไปดองหรือแช่น้ำ (300 มล.) นานประมาณ 24 ชม. จากนั้นก็นำมาต้ม ตั้งไฟอ่อน ๆ จนให้น้ำเหลือประมาณ 100 มล. ใช้ดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้า จากนั้นอีก 4 ชม. ก็ให้กินดีเกลือประมาณ 20-25 กรัม สำหรับขับพยาธิตัวตืดออกมา จากการทดสอบปรากฏว่า มีผู้ป่วย 5 คน ที่เป็นพยาธิจากหมู 4 คน เป็นพยาธิจากวัว และอีก 1 คนไม่ปรากฏผลอะไรเลย 3. แก้โรคบิดแบคทีเรีย จากการทดสอบกับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ในจำนวน 50 คน โดยการใช้เปลือกผลที่แห้งแล้วต้มให้มีความเข้มข้น 50-6% ให้ผู้ป่วยกิน 3-4 ครั้งต่อวันในประมาณ ครั้งละ 10-20 มล. ผลปรากฏว่ามีผู้ป่วย จำนวน 49 คน มีอาการดีขึ้น อีก 1 คน มีอาการดีขึ้นภายหลัง 4. อาการอักเสบจากการติดเชื้อ จากการทดสอบคนป่วยที่เป็นไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ ผิวหนังเป็นแผลติดเชื้อ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และหลอดลมอักเสบ จำนวน 415 คน โดยการใช้เปลือกผล ต้มให้เดือดกรองน้ำนำไประเหยแห้ง แล้วนำไปบดให้ละเอียดเป็นผง นำมาใส่ในแคปซูล ขนาด 250 มก. กินครั้งละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1-2 แคปซูล ผลปรากฏว่าผู้ป่วยมีอาการหายขาดเลย 305 คน อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 57 คน อาการดีขึ้น 36 คน และอีก 17 คน ไม่ได้ผลเลยข้อมูลทางเภสัชวิทยา :
1. สารที่ได้จากการสกัดเปลือกราก เปลือกผลและผลด้วยแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อต่าง ๆ หลายประเภท เช่น Pseudomonas aeruginosa, S. schottmuelleri, Shigella paradysenteriae B.H., S. montevideo, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และ S. paradysenteriae III-Z เปลือกผลที่มีได้จากการสกัดในความเข้มข้น 10 กรัมต่อลิตร มีฤทธิ์ช่วยในการยับยั้งเชื้อรา Colletotrichum falcatum Went. และ Piricularia oryzae Cav. น้ำที่สกัด หรือคั้นจากรากและใบมีฤทธิ์ช่วยในการยับยั้งเชื้อ Mycobacterium tuberculosis และมีฤทธิ์ใช้ฆ่าเชื้อไวรัสในยาสูบ 2. สารละลาย pelletierine hydrochloride ในน้ำอัตราส่วน 1 : 10,000 มีฤทธิ์สามารถ ฆ่าพยาธิเส้นด้ายได้ดี ภายใน 5-10 นาที แต่ถ้าใช้ในอัตราส่วน 1 : 50,000 มีผลเพียงทำให้พยาธิระคายเคืองเท่านั้น แต่สำหรับในปัจจุบัน ได้ค้นพบว่าตัวที่มีฤทธิ์ในการทำลายพยาธิที่จริงและได้ผลดีคือ isopelletierine ตัว pelletierine บริสุทธิ์ มีฤทธิ์ในการทำลายพยาธิได้เหมือนกันถ้าจะได้ผลดีต้องอยู่ในรูปอัลคาลอยด์แทนเนท เพราะอัลคาลอยด์แทนเนท ไม่ถูกดูดซึม และลายน้ำได้ยาก 3. จากการทดลองให้หนูตะเภา หรือหนูใหญ่ตัวเมียกินผงที่ละเอียดแล้วของเปลือก ผล ปรากฏว่าผลของการตั้งท้องน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้กิน ทดลองกับกระต่ายจากการใช้เปลือกรากสกัดเอาน้ำ ทำให้เลือดของกระต่ายแข็งตัวได้เร็วขึ้นกว่าปรกติ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=236
(หมวด น)
น้อยหน่า
ชื่ออื่น ๆ : หมักเขียบ (ตะวันออกเฉียงเหนือ), ลาหนัง(ปัตตานี), มะนอแน่, มะแน่(เหนือ), หน่อเกล๊ะแซ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), มะออจ้า, มะโอจ่า (เงี้ยว-เหนือ), เตียบ(เขมร)ชื่อสามัญ : Sugar Apple, Sweetsop, Custard Appleชื่อวิทยาศาสตร์ : Annona squamosa Linn.วงศ์ : ANNONACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นก้านเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตมากนัก ผิวเกลี้ยง สีเทาอมน้ำตาล ลำต้นสูงประมาณ 8 เมตร ใบ : ออกใบเดี่ยว เรียงสลับกันไปตามข้อต้น ลักษณะของใบเป็นรูปรี ปลายและโคนใบจะแหลม ใบกว้างประมาณ 1-2.5 นิ้วยาว 3-6 นิ้ว สีเขียว ก้านใบยาว 0.5 นิ้ว ดอก : ออกดอกเดี่ยว ๆ อยู่ตามง่ามใบ ลักษณะของดอกจะห้อยลงมีอยู่ 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ชั้นในกลีบดอกจะสั้นกว่าชั้นนอก มีสีเหลืองอมเขียว กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ เกสรกลาง ดอกมีจำนวนมากมาย ผล : ออกเป็นลูกกลม ๆ ป้อม ๆ โตประมาณ 3-4 นิ้ว มีผิวขรุขระ เป็นช่องกลมนูน ซึ่งในแต่ละช่องนั้นภายในจะเป็นเนื้อสีขาวและมีเมล็ดสีดำหรือน้ำตาลเข้ม เนื้อในทานได้มีรสหวาน เปลือกผลสีเขียว แต่ถ้าสุกตรงขอบช่องนูนนั้นจะออกสีขาวและบีบดูจะนุ่ม ๆการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่จะไม่ชอบอยู่ในที่มีน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วย เมล็ดส่วนที่ใช้ : ผล เมล็ด ราก ใบ และเปลือกต้นสรรพคุณ : ผล ซึ่งนำมาใช้ได้ 2 อย่างคือ ถ้าเป็นผลดิบ จะเป็นยาแก้พิษงู แก้ฝีในคอ กลากเกลื้อน ฆ่าพยาธิ ผิวหนัง และผลแห้ง แก้งูสวัด เริม แก้ฝีในหู แต่ถ้าเป็นเปลือกก็ยังแก้พิษงูได้ด้วยเมล็ด เป็นยาฆ่าพยาธิตัวจี๊ด ฆ่าเหา และแก้บวม ราก เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน และแก้พิษงู ถอนพิษเบื่อเมา ใบ แก้ขับพยาธิลำไส้ ฆ่าเหา แก้หิด แก้กลากเกลื้อน และแก้ฟกบวม เปลือกต้น เป็นยาสมานลำไส้ สมานแผล แก้ท้องร่วง แก้พิษงู แก้รำมะนาด ยาฝาดสมานถิ่นที่อยู่ : ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกากลาง และใต้ แต่จะพบอยู่ทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ

ตำรับยา :
1. เป็นโรคกลากเกลื้อน และเหา ให้นำเอาใบน้อยหน่าสดมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วพอกหัว ภายใน 7 วัน กลากเกลื้อนและเหาก็จะหาย 2. เป็นเหา ซึ่งมีวิธีรักษาอยู่ 2 วิธีคือ นำใบน้อยหน่าประมาณ 3-4 ใบมาบดหรือตำให้ ละเอียดแล้วคลุกกับเหล้า 28 ดีกรี คลุกให้เคล้ากันจนได้กลิ่นน้อยหน่า แล้วนำมาทาหัวให้ทั่ว เอาผ้าคลุมไว้สัก 10-30 นาทีและเอาผ้าออกใช้หวีสาง เหาก็ตกลงมาทันที วิธีที่สอง นำใบน้อยหน่า 7-8 ใบ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำทาหัวทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ซึ่งจะช่วยทำให้ไข่ฝ่อ และฆ่าเหาได้
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=242
(หมวด ฝ)
ฝรั่ง
ชื่ออื่น ๆ : มะก้วย (เชียงใหม่), มะมั่น (ลำปาง), มะก้วยกา, มะสีดา (ภาคเหนือ), มะก้วยเปา (ลำพูน), มะจีน, มะปุ่น (สุโขทัย-ตาก), มะกา (แม่ฮ่องสอน), สีดา (นครพนม), จุ่มโป่ (สุราษฎร์ธานี), มะแกว (แร่), ชมพู่ (ตานี), สีดาขาว (อุบล), ยะรัง (ละว้า-เชียงใหม่), ย่าหมู, ย่ามู (ภาคใต้), ยะมูบุเตบันเยา, มะปุ้ม, ชมพู่ (มลายู-นราธิวาส), ปั้กเกี๊ย (จีนแต้จิ๋ว)ชื่อสามัญ : Guavaชื่อวิทยาศาสตร์ : Psidium guajava Linn.วงศ์ : MYRTACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น มีขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง ลักษณะผิวเปลือกของ ลำต้นเรียบเกลี้ยง กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบ : ลักษณะของใบเป็นใบหนา หยาบ ใต้ท้องใบเป็นริ้วเห็นเส้นใบได้ชัด และมีขนขึ้นนวลบาง ขนาดของใบยาวประมาณ 2-5 นิ้ว กว้างประมาณ 1.5-3 นิ้ว ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ในช่อหนึ่งมีดอกย่อยประมาณ 3-5 ดอก ลักษณะของดอกเป็นดอกเล็ก มีสีขาวอมเขียวอ่อน ๆ กลีบเลี้ยงแข็งมีความคงทนมาก ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปต่างกัน ตามลักษณะของพันธุ์ และชนิดของมัน แต่ลักษณะของผิวเกลี้ยงเรียบ ผลเมื่อยังอ่อนจะเป็นสีเขียวแก่ หรือเขียวอ่อน แต่เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นเหม็น และข้างในผลหนึ่งมีเมล็ด เป็นเม็ดกลมเล็ก ๆ แข็ง มีจำนวนมากการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในดิน ที่มีลักษณะเป็นดินปนทราย ขยายพันธ์ด้วยวิธี การเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่งส่วนที่ใช้ : ใบ ผล รากสรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสด ประมาณ 10-15 ใบ นำมาผิงไฟให้เกรียมแล้วต้ม หรือชงน้ำรับประทาน เป็นยาแก้โรคท้องเดิน โรคบิด แก้ปวดเบ่ง หรือใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำใช้ล้างบาดแผล หรือใช้กากพอกบริเวณแผลช่วยถอนพิษบาดแผล หรือใช้ใบที่สด ประมาณ 6-7 ใบ นำมาเคี้ยวอม หรือนำมาใส่ในตู้เย็น ช่วยระงับกลิ่นเหม็น ผล ใช้ผลอ่อน ประมาณ 1 ผล นำมาฝนกับน้ำปูนใสใช้รับประทานเป็นยาแก้อาการท้องเดิน ราก ใช้รากนำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยดูดน้ำเหลือง น้ำหนอง ทำให้แห้ง
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=313
(หมวด ม)
มะปรางชื่ออื่น ๆ : สตา (มลายู), มะปราง (ไทย-ปัตตานี)ชื่อสามัญ : -ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bouea macrophylla Griff.วงศ์ : ANACARDIACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ที่มีลำต้นและเรือนยอดเป็นพุ่ม ลำต้นมีความสูงประมาณ 20 เมตร ผิวเปลือกลำต้นค่อนข้างขรุขระเป็นร่อง มีสีน้ำตาลอ่อน ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเรียงสลับกัน ซึ่งใบจะมีลักษณะเป็นรูปยาวรี ปลายใบเรียวแหลมมีติ่ง ใบมีขนาดยาวประมาณ 4-8 นิ้ว ก้านยาวประมาณ 1-2 ซม. ดอก : ดอกออกเป็นช่อกระจาย ลักษณะของดอกเป็นดอกสีเหลือง มีขนาดเล็ก กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีประมาณ 3-5 กลีบ ดอกมักจะออกอยู่ข้างหลังใบของมัน ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปยาวรี มีขนาดยาวประมาณ 1.5-2.0 นิ้ว ผลเปลือกเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลแก่หรือสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 1 เม็ด เป็นรูปยาวรีการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลาง ชอบอากาศชื้น ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง หรือการใช้เมล็ดเพาะ
ส่วนที่ใช้ : ราก ผลสรรพคุณ : ราก ใช้เป็นยาถอนพิษไข้ต่าง ๆผล ใช้รับประทานเป็นผลไม้ถิ่นที่อยู่ : มะปราง เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นตามบริเวณป่าดงดิบ ปลูกมากในทางภาคใต้ของไทย

http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=381

มะพร้าว
ชื่ออื่น ๆ : หมากอูน, หมากอู๋น, มะพร้าว (ทั่วไป), คอส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), มะพร้าว (ภาคใต้), ดุง (ชอง-จันทบุรี), ย่อ (มลายู-ภาคใต้), โพล (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), เฮ็ดดุง (เพชรบูรณ์), เอี่ยจี้ (จีน)ชื่อสามัญ : Coconutชื่อวิทยาศาสตร์ : Cocos nucifera Linn.วงศ์ : PALMAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ที่มีลำต้นสูงชะลูด จะไม่แตกกิ่งก้านสาขา ขนาดของลำต้นมีความสูงประมาณ 20-30 เมตร ใบ : ลักษณะของใบออกเป็นใบรวม มีใบย่อยเรียงสลับกันเป็นรูปขนนก ใบรวมก้านหนึ่งยาวประมาณ 3-7 เมตร กว้างประมาณ 1-1.4 เมตร ใบย่อยมีลักษณะเป็นแผ่นแคบยาว ปลายใบแหลม พื้นผิวเรียบเป็นมัน มีสีเขียวแก่ ขนาดของใบยาวประมาณ 2-3 ฟุต กว้างประมาณ 1-2.5 นิ้ว ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ออกตามบริเวณกาบที่หุ้ม ดอกย่อยมีลักษณะ เป็นดอกขนาดเล็ก ดอกหนึ่งมีกลีบดอกประมาณ 6 กลีบ ในช่อหนึ่ง ๆ มีทั้งดอกตัวผู้และตัวเมีย ดอกตัวผู้จะอยู่ปลาย และดอกตัวเมียจะอยู่บริเวณโคนช่อดอก ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม หรือรูปรี มีขนาดยาวประมาณ 8-14 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 8-9.5 นิ้ว เปลือกนอกเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อผลแก่ก็จะสีน้ำตาล เปลือกชั้นกลางเป็นเส้นใยนุ่ม ชั้นในจะแข็งเป็นกะลา ชั้นต่อไปเป็นเนื้อผลมีสีขาวนุ่ม และภายในมีน้ำใสมีรสจืด หรือบางทีก็จะมีรสหวานการขยายพันธุ์ : มะพร้าว เป็นพรรณไม้ที่ปลูกขึ้นได้ดีในดินปนทราย มีการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะผลของมันส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น เปลือกผล เนื้อ น้ำมันมะพร้าว น้ำมัน กะลา ดอก รากสรรพคุณ : เปลือกต้น ใช้เปลือกต้นที่สด นำมาเผาไฟให้เป็นเถ้าแปรงสีฟัน แก้เจ็บปวดฟัน และใช้ทาแก้หิด เป็นต้น เปลือกผล ใช้เปลือกผลที่แก่แห้งแล้ว นำมาเป็นยาแก้อาเจียน แก้โรคกระเพาะ และใช้ในการห้ามเลือดแก้ปวดเลือดกำเดาไหล เป็นต้น เนื้อมะพร้าว ใช้เนื้อมะพร้าวสด หรือแห้ง นำมาขูดให้เป็นฝอยใส่น้ำ แล้วเคี่ยวเอาน้ำมัน ใช้กินเป็นยาบำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ เป็นต้น
น้ำมันมะพร้าว ใช้น้ำมะพร้าวสดประมาณ 1-2 ลูก กินเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิต และบวมน้ำเป็นต้น น้ำมัน น้ำมันที่ได้จากเนื้อ หรือ จากกะลา ใช้กินเป็นยาบำรุงกำลัง หรือใช้ทาเป็นยาแก้กลากเกลื้อน แก้โรคผิวหนังต่าง ๆ ทาแผลน้ำร้อนลวก และใช้ทาผิวหนังที่แตกเป็นขุย นอกจากนี้ยังใช้เป็นน้ำมันทาผมได้อีกด้วย กะลา ใช้กะลามะพร้าวแห้ง นำมาเผาให้เป็นถ่านดำแล้วนำมาบดให้เป็นผงละเอียด ผสมน้ำกินวันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 0.5-1 ช้อนชา กินเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ปวดกระดูกและเอ็น เป็นต้น ดอก ใช้ดอกสดอ่อน นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้เจ็บปากเจ็บคอ แก้ท้องเสีย เป็นต้น ราก ใช้รากสด นำมาต้มกินเป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ หรือเอาน้ำอมหรือบ้วน แก้เจ็บปากเจ็บคอข้อมูลทางคลีนิค : จากการทดลองให้คนไข้กินน้ำมะพร้าว ผสมกรดโซอิคประมาณ 0.25% จำนวน 18 คน เพื่อให้ขับพยาธิตัวตืด มีผลปรากฏว่ามี 2 คน เท่านั้นที่ขับพยาธิออก และทดลองให้คนไข้กินน้ำและเนื้อมะพร้าว เพื่อขับพยาธิ จำนวน 69 คน มี 30 คน เท่านั้นที่ขับพยาธิออกมา ส่วนที่เหลือนั้นก็มีอาการทุเลาลงข้อมูลทางเภสัชวิทยา :
1. จากการแยกน้ำมะพร้าวจะได้ สารพวกโปลีแซคคาไรด์แล้วนำมาทดลองกับหนูเล็ก ด้วยการฉีดมีผลทำให้หนูเล็กมีความต้านทานการติดเชื้อวัณโรคได้ดี และยังมีปฎิกริยากับซีรั่ม ของหนูตะเภาที่เคยติดเชื้อวัณโรคมาก่อน 2. สารที่สกัดได้จากกะลามะพร้าว มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา แต่ไม่มีผลในการยับยั้งในการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 3. เมื่อนำน้ำมะพร้าวมาทดลองฉีดเข้า ในหลอดเลือดดำของสุนัขมีผลทำให้การเต้นของหัวใจช้า และการหายใจลึกและถี่ขึ้น 4. จากการสกัดสารจากก้านและใบด้วยแอลกอฮอล์ โดยนำมาทดลองกับสัตว์ทดลอง มีผลในการกระตุ้นลำไส้เล็กของหนูตะเภา และเมื่อนำมาฉีดเข้าในหลอดเลือดดำของสุนัขมีผลทำให้สุนัขสลบ และลดความดันโลหิต เป็นต้น
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=382

มะเฟือง
ชื่ออื่น ๆ : มะเฟือง (ทั่วไป), เฟือง (ภาคใต้), สะบือ(เขมร)ชื่อสามัญ : Star Fruit, carambolaชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa carambloa Linn.วงศ์ : AVERRHOACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับตะลิงปลิง มีลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน เปลือกของลำต้นค่อนข้างขรุขระมีตุ่มเล็ก ๆ ทั่วไป ใบ : เป็นใบรวม จะออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ไปตามแผง แผงหนึ่งมีประมาณ 7-15 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปมนรี ปลายใบแหลม ริมขอบใบเรียบเกลี้ยง ใบย่อยตรงปลายแผงมักจะมีขนาดใหญ่กว่าใบตรงโคนแผง ดอก : ดอกออกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามบริเวณกิ่ง และลำต้น ดอกมีสีม่วงอ่อน เป็นดอกขนาดเล็ก ผล : เมื่อดอกร่วงโรย ก็จะกลายเป็นผล ลักษณะของผลเป็นรูปเฟืองมีกลีบอยู่ 5 กลีบ เมื่อยังอ่อนผลจะเป็นสีเขียว แต่พอผลสุกหรือแก่เต็มที่ ผลก็จะกลายเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ ต้องการน้ำและความชื้นปริมาณปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง หรือการใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : เปลือกลำต้นชั้นใน ใบ ดอก ผลสรรพคุณ : เปลือกลำต้นชั้นใน นำมาปรุงเป็นยาผสมกับไม้จันทร์ และชลูด ใช้ทาภายนอกแก้ผดผื่นคันทั่วไปใบ ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียด ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน แก้ปวดฟัน และใช้ทารักษาอีกสุกอีใส เป็นต้นใบและราก ใช้ใบและรากสด นำมาต้มเอาน้ำเป็นยาแก้พิษร้อน แก้ไข้ใบและผล ใช้ใบและผลสด นำมาต้มเอากินเป็นยาแก้ไข้ แก้อาเจียน เป็นต้น ดอก ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ หรือใช้ดอกสดนำมาตำให้ละเอียดใช้ทาแก้แพ้ lacquerผล ใช้ผลสด นำมาคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้บิด ขับน้ำลาย แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ไข้ แก้กระหาย แก้เมา แก้ท้องร่วง ลดอาการอักเสบ หรือใช้ผสมกับสารส้ม หรือสุรากินแก้โรคนิ่ว เป็นต้นขอห้ามใช้ : ผลมะเฟือง สตรีที่ตั้งครรภ์ไม่ควรที่จะรับประทานมาก เพราะอาจจะทำให้แท้งลูก
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=384

มะม่วงชื่ออื่น ๆ : มะม่วงบ้าน (ทั่วไป), แป (ละว้า-เชียงใหม่), หมักโม่ง (เงี้ยว-ภาคเหนือ), ส่าเคาะส่า, สะเคาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), มะม่วงสวน (ภาคกลาง), โตรัก (ชาวบน-นครราชสีมา), เจาะช้อก, ช้อก (ชอง-จันทบุรี), ขุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), โคกและ (ละว้า-กาญจนบุรี), เปา (มลายู-ภาคใต้), สะวาย (เขมร), มั่วก้วย (จีน)ชื่อสามัญ : Mango Treeชื่อวิทยาศาสตร์ : Mangifera indica Linn.วงศ์ : ANACARDIACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบต้นมากมายจนดูหนาทึบ เปลือกของลำต้นจะมีสีน้ำตาลอมดำ พื้นผิวเปลือกขรุขระ เป็นร่องไปตามแนวยาวของลำต้น ใบ : ลักษณะของใบเป็นรูปหอก มีสีเขียวเข้ม เป็นไม้ใบเดี่ยวจะออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ไปตามก้านใบ ขอบใบเรียบไม่มีหยัก ปลายใบแหลม ส่วนโคนใบมน เนื้อใบค่อนข้างจะหนา ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีประมาณ 15-20 ดอก ลักษณะของดอกเป็นสีเหลืองอ่อน หรือสีนวล ๆ เป็นดอกที่มีขนาดเล็ก ผล : เมื่อดอกโรยก็จะติดผล มีลักษณะต่างกันแล้วแต่ละพรรณเช่น บางทีมีเป็นรูปมนรี ยาวรี หรือเป็นรูปกลมป้อม ผลอ่อนมีเป็นสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ภายในผลมีเมล็ด ผลหนึ่งมีเมล็ดเดียวการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่ชอบแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนผสมพิเศษ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือการทาบกิ่งส่วนที่ใช้ : เปลือกลำต้น ใบ ผล เมล็ดสรรพคุณ : เปลือกลำต้น ใช้เปลือกลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ แก้โรคคอตีบ แก้เยื่อ ปากอักเสบ เยื่อเมือกในจมูกอักเสบ หรือใช้สวนล้างช่องคลอดแก้อาการตกขาว ใบ ใช้ใบสดประมาณ 15-30 กรัม นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง แก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้อืดแน่น หรือใช้ใบสดตำให้ละเอียดพอกบริเวณแผลสด หรือใช้ล้างบาดแผล เป็นต้น ผล ใช้ผลสด นำมากินเป็นยาแก้คลื่นไส้ อาเจียนวิงเวียน แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย แก้อาการปวดเมื่อยเมื่อมีประจำเดือน แก้บิดถ่ายเป็นเลือด และใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร เป็นต้น เมล็ด ใช้เมล็ดสด ประมาณ 2-3 เม็ด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาถ่ายพยาธิตัวกลม แก้ท้องร่วง แก้บิดเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร ตกขาว ตกเลือด ท้องอืด แก้ไส้เลื่อน และแก้ไอ ข้อห้ามใช้ : สำหรับบุคคลที่รับประทานอาหารมากเกินไป หรือผู้ป่วยหลังจากฟื้นไข้ใหม่ ๆ ห้ามกินผลมะม่วงสุกรวมกับกระเทียมและของเผ็ด ทุกชนิดอื่น ๆ : มะม่วงเป็นพรรณไม้ใหญ่ ลำต้นมีเนื้อไม้เป็นสีเหลืองอ่อน นอกจากใช้เป็นสมุนไพรแล้ว ยังใช้ก่อสร้างตกแต่งภายในบ้าน หรือใช้ทำหีบกล่องได้ข้อมูลทางเภสัชวิทยา :
1. น้ำที่คั้นจากใบ เมื่อนำมาทดสอบกับคน ถูกผิวหนัง ทำให้เป็นผื่นคัน หรือทำให้แพ้ได้ 2. น้ำที่กรองเอาจากการต้มของใบ เปลือกลำต้น และผลดิบ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Escherichia coli, Micrococcus pyogenes 3. สัตว์ตัวเมีย เมื่อกินใบสดของมะม่วงมีอาการ คล้ายกับได้รับฮอร์โมนเพศหญิง

http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=388

มะละกอชื่ออื่น ๆ : มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ), สะกุยเส่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หมากซางพอ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), หมักหุ่ง (นครพนม), ลอกอ (ใต้), ก้วยลา (ยะลา), แดงต้น(สตูล), มะเต๊ะ (มลายู-ปัตตานี), เจียะกวย, ฮวงบักกวย (จีน)ชื่อสามัญ : Pawpaw, Papaya, Tree Melonชื่อวิทยาศาสตร์ : Carica papaya Linnวงศ์ : CARICACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้เนื้ออ่อน ฉ่ำน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-7 เมตร ลักษณะของลำต้นตั้งตรง ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นกลวง ผิวเปลือกลำต้นค่อนข้างขรุขระเป็นร่องไปตามยาว ใบ : ลักษณะของใบเป็นหยัก เว้าลึก แยกเป็นแฉกประมาณ 7-9 แฉก แต่ละแฉกจะมีร้อยเว้าเล็ก ๆ เหมือนกับขนนก ใบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 ฟุต ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ห้อยลง ลักษณะของดอกเป็นดอกตัวผู้ มีสีเหลือง หรือสีนวล กลีบดอกยาวประมาณ 2 ซม. กลิ่นหอม กลีบดอกบางโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ข้างในหลอดมีเกสร สำหรับดอกเพศเมีย ออกเป็นกระจุก หรือดอกเดี่ยว กลีบดอกยาวประมาณ 2.5 นิ้ว มีสีเหลือง โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ข้างในหลอดมีเกสร ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกลม หรือกลมยาวรี มีขนาดยาวประมาณ 4-12 นิ้ว ผลอ่อนมีเปลือกเป็นสีเขียว เนื้อในเป็นสีขาว แต่พอผลแก่ หรือสุกเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม เนื้ออ่อนนุ่ม ข้างในผลมีเมล็ด เป็นรูปลักษณะมีสีดำหรือสีน้ำตาลดำ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 มม. ยาวประมาณ 6-7 มม.การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่ต้องการน้ำค่อนข้างมาก เจริญเติบโต ได้ดีในดินร่วนซุย ขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : ใบ ผล ยาง รากสรรพคุณ : ใบ ใช้ใบสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ แก้หอบหืด แก้โรคเหน็บชา และแก้บวมปวดใช้ใบแห้ง นำมาตำให้เป็นผงละเอียด นำมาชงกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับกระเพาะ หรือนำใบสดมาย่างไฟ หรือลวกกับน้ำร้อน แล้วใช้ประคบในขณะอุ่น ๆ ตามบริเวณที่ปวด แก้บวมปวดเจ็บ แก้ปวดวิถีประสาท ขับน้ำนม และแก้อาการบวมของโรคเท้าช้างได้ เป็นต้นผล ใช้ทั้งผลดิบและผลสุก นำมาต้มคั้นเอาน้ำกินเป็นยาบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง ผลสุกเหมาะสำหรับผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ เป็นต้นยาง ใช้ยางสด นำมาผสมกับน้ำตาล หรือน้ำผึ้ง กินเป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ขับพยาธิ ขับประจำเดือน หรือใช้ยางสดทาภายนอก ช่วยกัดหูด ติ่ง ตาปลา เนื้องอกอื่น ๆ กัดรอยด่างดำ และทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มได้ เป็นต้นราก ใช้รากสด (แห้ง) ประมาณ 30-60 กรัม (15-30 กรัม) นำต้มเอาน้ำกิน เป็นยาขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน แก้โรคหนองใน โรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและไต หรือใช้ผสมเป็นยาแก้คุดทะราด และริดสีดวงทวาร เป็นต้นข้อห้ามใช้ :
1. ผู้ที่มีอาการแพ้ยางมะละกอ จะมีอาการผิดปกติ หรือจะมีผื่นคันขึ้น ให้หยุดใช้ทันที 2. หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทานราก ยางและเมล็ด เพราะอาจทำให้แท้งได้อื่น ๆ : ลำต้นและก้านใบใช้ต้ม ผ้าร่วมกับสบู่ หรือใช้แทนสบู่ ช่วยลดรอยคราบสกปรก หรือไขมัน
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=393


มังคุด
ชื่อไทย มังคุด ชื่อสามัญ Mangosteen ชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana Linnวงศ์ Guttiferae ลักษณะโดยทั่วไปมังคุดเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 25–30? C ความชื้นสัมพัทธ์สูงประมาณ 75–85% ดินควรมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของดินประมาณ 5.5–6.5 และที่สำคัญควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีน้ำเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้ง มังคุดเป็นไม้ผลที่มีระบบรากหาอาหารค่อนข้างลึก ประมาณ 90–120 ซม. จากผิวดิน ดังนั้นจึงต้องการสภาพแล้งก่อนออกดอกค่อนข้างนาน โดยต้นมังคุดที่สมบูรณ์ใบยอดมีอายุระหว่าง 9 –12 สัปดาห์เมื่อผ่านช่วงแล้งติดต่อกัน 21–30 วัน และมีการกระตุ้นน้ำถูกวิธีมังคุดจะออกดอก
ส่วนที่ใช้เป็นยาเปลือกผลสุกแห้ง มีรสฝาด ขนาดและวิธีใช้ใช้เปลือกผลแห้งครึ่งผล ต้มกับน้ำ ดื่มแต่น้ำ หรือใช้เปลือกผลแห้งย่างไฟให้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใส 1/3 แก้ว รับประทานทุก ๆ 3 ชั่วโมงสรรพคุณรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน การที่เปลือกมังคุดแห้ง สามารถรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดินได้ เพราะมีสารแทนนิน ออกฤทธิ์เป็นยาฝาด
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=505
(หมวด ล)

ลำไยชื่ออื่น ๆ : ลำไยป่า (ทั่วไป) เจ๊ะเลอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)ชื่อสามัญ : -ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dimocarpus longan Lour.วงศ์ : SAPINDACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง จะแตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอดของต้น ลำต้นและกิ่งก้านมีสีน้ำตาลอมเทา ใบ : ออกใบเดี่ยว มีขนาดเล็ก แต่ใบจะดกหนาทึบ ซึ่งเป็นพรรณไม้ที่ให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี ลักษณะของใบเป็นรูปหอกปลายแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย มีสีเขียวเข้ม ดอก : ออกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ซึ่งดอกลำใยนี้จะมีขนาดเล็ก สีเหลือง หรือน้ำตาลอ่อน ๆ ผล : พอดอกร่วงโรยไปก็จะติดผลออกมา ซึ่งมีลักษณะเป็นลูกกลม เปลือกสีน้ำตาล เนื้อในผลสีขาวใส และผลหนึ่งจะมีเมล็ดอยู่ 1 เม็ดมีสีดำ ผลทานได้มีรสหวานจะแก่จัดในราวเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นพรรณไม้ที่มีผู้นิยมทานผลกันมาก และเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของทางภาคเหนือด้วยการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุยและมีความชื้นเล็กน้อย ไม่ชอบน้ำมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก เมล็ด ราก เปลือกผล เนื้อหุ้มเมล็ดสรรพคุณ : ใบ เป็นใบสด มีรสจืดและชุ่ม สุขุม เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวาร ฝีหัวขาด และแก้ไข้หวัด โดยนำเอาต้มน้ำกิน ดอก ใช้ดอกสด หรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับหนองทั้งหลาย โดยใช้ใบสดประมาณ 5-30 กรัมต้มน้ำกิน เมล็ด ต้มหรือบดเป็นผงกินจะมีรสฝาด ใช้ภายนอกจะรักษากลากเกลื้อน แผลมีหนอง แก้ปวด สมานแผล ใช้ห้ามเลือด รากหรือเปลือกราก ต้มน้ำกินหรือเคี้ยวให้ข้นผสมกิน มีรสฝาด แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย เปลือกผล ใช้ที่แห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น จะมีรสชุ่ม หรือใช้ทาภายนอก โดยเผาเป็นเถ้าหรือบดเป็นผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เนื้อหุ้มเมล็ด นำมาต้มน้ำกินหรือแช่เหล้า เป็นยาบำรุงม้ามเลือดลมและหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับ ประสาทอ่อน หรือจะบดเป็นผงผสมกับยาเม็ดกินก็ได้ข้อห้ามใช้ : คนที่มีอาการเจ็บคอ หรือไอมีเสมหะ หรือเป็นแผลอักเสบจนมีหนอง ไม่ควรกินเนื้อของผลลำไยตำรับยา :
1. โรคมาลาเรีย ใช้ใบสดกับปอขี้ตุ่นแห้ง 10-20 กรัมและน้ำ 2 แก้วผสมเหล้าอีก 1 แก้วต้มให้เหลือน้ำเพียง 1 แก้วกินก่อนมีอาการไข้ 2 ชั่วโมง 2. แผลเน่าเปื่อยและคัน ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้าแล้วทาตรงบริเวณที่เป็น 3. ปัสสาวะขัด ใช้เมล็ดมาทุบให้แตกแล้วต้มน้ำกิน แต่จะต้องลอกเอาเปลือกสีดำของเมล็ดออกก่อน 4. กลากเกลื้อน ใช้เมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวถูทาตรงที่เป็น แต่ต้องลอกเอาเปลือกสีดำออกก่อน 5. แผลเรื้อรังและมีหนอง ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทา 6. หกล้มเลือดออกหรือมีดบาด ใช้เมล็ดบดเป็นผงพอก ห้ามเลือดและจะช่วยแก้ปวดด้วย แต่ต้องเอาเปลือกนอกสีดำออกก่อน 7. ขับปัสสาวะหรือแก้ปัสสาวะขุ่นขาว ใช้ดอกลำไยสดประมาณ 30 กรัม ต้มผสมกับเนื้อหมูกิน 3-5 ครั้ง 8. น้ำร้อนลวก ใช้เปลือกผลบดเป็นผงหรือเผาให้เป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันลูกมะเยา ทาแผลก็จะหายปวดและไม่เป็นแผลเป็นด้วย 9. ท้องเสีย ใช้เนื้อของผล 14 ผลกับขิงสด 3 แว่นต้มกินน้ำ 10. สตรีทีคลอดบุตรแล้วมีอาการบวมตามตัว ให้ใช้เนื้อของผลกับลูกพุทราจีน และขิงสด ต้มกินน้ำ 11. เอาผลลำไยไปแช่เหล้า ไม่ว่าจะเป็นเหล้ายี่ห้ออะไรก็ได้ แช่ไว้ประมาณ 3 เดือน แล้วเอามาทานวันละแก้ว จะเป็นบำรุงหัวใจ และช่วยบำรุงให้ร่างกายแข็งแรงด้วยข้อมูลทางคลีนิค : ขับพยาธิเส้นด้าย จากคนไข้ 225 คนได้ผล 220 คนโดยการใช้รากสด 50 กก. ใส่น้ำ 125 ลิตร แล้วต้มให้นานประมาณ 8-10 ชั่วโมงจนเหลือน้ำเพียง 6 ลิตรแต่ต้องเอากากออก แบ่งกินครั้งละ 30 มล. วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 2 วันสารเคมีที่พบ : ในดอก มีสารพวก fucosterol, stigmasterol อยู่ในอัตราส่วน 40 : 60 และมี sterols อื่นอีกในใบมี quercitrin, quercetin, 16-hentriacontanol, epifriedelinol, stigmasterol glucoside, stigmasterol, B-sitosterol เนื้อหุ้มเมล็ด มีโปรตีน 1.42% น้ำ 82.39% ไขมัน 0.45% เส้นใย 0.64% sucrose 2.35% reducing sugars 5.99% แต่ถ้าเป็นเนื้อหุ้มเมล็ดแห้งจะมีน้ำ 0.85% สารที่ไม่ละลายน้ำ 19.39% และสารที่ละลายน้ำได้ 79.77% เถ้า 3.36% นอกจากนี้ยังมีโปรตีน 5.6% และไขมัน 0.5% ผลสด มีพวก โปตัสเซียม 81-322 มก.% ฟอสฟอรัส 4.8-20.6% โซเดียม 0.1-10.3 มก.% แมกนีเซียม 4.2-19.1 มก.% แคลเซียม 0.35-41.6 มก.% เหล็ก 39-357 ไมโครกรัม% แมงกานีส 10-411 ไมโครกรัม% อลูมิเนียมน้อยกว่า 10-77 ไมโครกรัม% สังกะสี 15-133 ไมโครกรัม% และทองแดง 2-186 ไมโครกรัม% เมล็ด มีน้ำมันสีเหลืองออกส้ม ๆ 1.57% มีแป้งอีกจำนวนมาก และมี saponaretinหมายเหตุ : ลำต้นของลำไย มีเนื้อไม้แข็งปานกลาง สีแดงและจะขัดขึ้นมันได้ดี เรานำมาใช้ทำเป็นเสาหรือเสาให้พืชเกาะใช้เป็นฟืน และใช้ทำเฟอร์นิเจอร์
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=432

ลิ้นจี่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Litchi chinensis Sonn..
วงศ์ : SAPINDACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10-12 เมตร แตกกิ่งก้าน เรือนยอดกลม
ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบหนา รูปรีแกม ขอบขนานหรือรูปหอก ปลายใบแหลมรวบ ผิวใบมัน และใบดกหนาทึบ
ดอก ออกเป็นช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก
ผลรูปร่างกลมรี ผิวผลขรุขระ หรือเป็นหนามน้อย ๆ มีสีเขียว พอแก่จัดจะมีสีแดง และแดงคล้ำ เมื่อสุกงอม เนื้อในสีขาว หวานหอมหรือหวาน อมเปรี้ยว มีเมล็ดสีน้ำตาลแดง แข็งหนึ่งเม็ด
การใช้ประโยชน์
ใช้เป็นยา เนื้อผล เป็นยาบำรุง แก้ท้องเดิน เมล็ดบดให้เป็นผงใช้ 4-5 กรัม เป็นยา ฝาดสมาน ระงับความเจ็บปวดใน กระเพาะอาหาร
คุณค่าทาง โภชนาการ ลิ้นจี่ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรด อินทรีย์บางชนิด
ใช้เป็นอาหาร ผลแก่จัด รับประทานเป็นผลไม้ ทำผลไม้กระป๋อง ดอง ลอยแก้ว ทำแยม และทำผลไม้
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=506
(หมวด ส)
ส้มโอ
ชื่ออื่น ๆ : มะขุน, มะโอ (ภาคเหนือ), โกร้ยตะลอง (เขมร), ลีมาบาลี (มลายู-ยะลา), อิ่ว (จีน), สังอู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)ชื่อสามัญ : Pummelo, Shaddockชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus maxima Merr.วงศ์ : RUTACEAEลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอดของต้น ลำต้นมีสีน้ำตาล และมีหนามเล็ก ๆ อยู่ สูงประมาณ 8 เมตร ใบ : เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะเป็นรูปมนรี ปลายใบและโคนใบมนขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย พื้นใบเป็นสีเขียวและมัน แต่ตรงก้านใบจะมีส่วนที่แผ่ออกเป็นปีกรูปคล้ายหัวใจ ขนาดของใบกว้างประมาณ 1-4 นิ้วยาว 4-6 นิ้ว ดอก : ออกเป็นช่อและดอกเดี่ยว แต่ส่วนมากมักจะเป็นดอกเดี่ยวอยู่ตามง่ามใบ ดอกมีสีขาว ปลายกลีบมนมี 4 กลีบ กลางดอกมีเกสร 20-25 อัน ผล : เป็นลูกกลม ๆ โตและตรงหัวของผลจะนูนขึ้นมาเป็นกระจุก เมื่อยังอ่อนเป็นสีเขียว พอแก่หรือสุกเป็นสีเหลือง เปลือกผลมีต่อมน้ำมันมาก ขนาดของผลยาวประมาณ 5-7 นิ้วเนื้อในสีชมพูและสีเหลืองอ่อนมีรสหวานหรือเปรี้ยว จะมีอยู่ราว ๆ 12-18 กลีบ เมล็ดมีจำนวนมากสีน้ำตาลออกเหลือง ๆการขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย ต้องการความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอน และเมล็ดแต่ส่วนมากจะใช้วิธีตอนมากกว่า เพราะโตเร็วกว่าใช้เมล็ดส่วนที่ใช้ : ใบ ดอก ผล เปลือกผล เมล็ด รากสรรพคุณ : ใบ เป็นยาแก้ปวดข้อ ท้องอืดแน่น แก้ปวดหัว (ตำพอกที่ศีรษะ) ดอก แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระบังลม ขับเสมหะ ขับลม ผล แก้เมาสุรา ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์เบื่ออาหาร ปากไม่รู้รสอาหาร เปลือกผล เป็นยาขับลม ช่วยขับเสมหะ แก้อึดอัด แน่นหน้าอก ไอ จุกแน่น ปวดท้องน้อย ไส้เลื่อน หรือต้มน้ำอาบแก้คัน ใช้ตำพอกฝี เมล็ด แก้ไส้เลื่อน แก้ปวดท้อง ลำไส้เล็กหดตัวผิดปกติ ราก แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวด ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร ไส้เลื่อนข้อห้ามใช้ : สตรีมีครรภ์ไม่ควรกินเปลือกส้มโอตำรับยา :
1. ปวดบวม ใช้ใบสดตำแล้วเอาไปย่างไฟให้อุ่น นำไปพอกตรงบริเวณที่เป็น 2. ไอมีเสมหะ ใช้ผลสดเอาเมล็ดออกเสีย แล้วแกะเป็นชิ้นเล็ก ๆ แช่กับน้ำเหล้าไว้ 1 คืน เสร็จแล้วนำไปต้มให้เละผสมกบน้ำผึ้ง กวนให้เข้ากันแล้วจิบกินบ่อย ๆ 3. อาหารไม่ย่อย ท้องอืดแน่น ใช้เปลือกผลแห้งและลูกเร่วแห้ง อย่างละ 10 กรัมกับกระเพาะอาหารไก่ 1 ใบ ผักคาวทองสด 15 กรัม และผงยีสต์แห้ง 1 ช้อนชาต้มกับน้ำกินสารเคมีที่พบ : ในดอกมีน้ำมันระเหย 0.2-0.25 % ในเมล็ดมี เถ้า 2.85 % โปรตีน 23.87 % สารที่ไม่มีในโตรเจน 11.51 % เส้นใย 3.09 % และ obacunone, obaculactone (limonin), deacetylnomilin เปลือกผลมี น้ำมันระเหย 0.3-0.9 % ซึ่งประกอบด้วย geraniol, linalool, citral, methylanthranilate เป็นส่วนใหญ่ ผลมีพวก แครอทีนอยด์ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซีแคลเซียม เหล็ก น้ำตาล คลอไรด์ น้ำมันระเหย และยังมีพวก naringin, poncirin, naringenin-4-glucoside-7-neohesperidoside.neohesperidin
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=446

ดอกไม้สมุนไพร

(หมวด ก)
ดอกแก้ว
ชื่อพฤกษศาสตร์ : Murraya paniculate Jack วงศ์ รูตาซีอี : Fam, Rutaceae ชื่อท้องถิ่น ภาคเหนือเรียกว่า แก้วพริก ตะไหลแก้ว ได้แก่ แก้วขี้ไก่ แก้วลาย (สระบุรี), จ๊าพริก , จ้าพริก (ลำปาง), แก้วขาว (กลาง), กะมูงานิง (ปัตตานี), แก้วขี้ไก่ (ยะลา), เกาหลี่เฮียง (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ต้นแก้วเป็นไม้พุ่มถึงไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่ม เปลือกสีน้ำตาลปนเหลืองอ่อน ใบออกเป็นคู่และเป็นใบรวมแบบขนนก ใบย่อยมีรูปไข่ หรือรูปไข่ที่ค่อนข้างยาว ใบมีกลิ่นหอม เมื่อส่องดูกับแสงสว่างจะเห็นจุดต่อมน้ำมันบนใบ ใบมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ก้านดอกสีเขียวอ่อน ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อดอก ผลสีหมากสวยงามมาก ขนาดเท่าผลมะแว้งเขื่อง ๆ รูปไข่รี ปลายผลทู่ สีส้มอมแดง ภายในมี 1-2 เมล็ด ผลสุกรับประทานได้แก้วเป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกง่าย ตอนหรือหักชำได้ มีขึ้นประปรายตามป่าดิบทั่วไป และตามบ้านเรือนมักจะปลูกเป็นรั้วเป็นไม้ประดับ
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ใบสด
รสและสรรพคุณยาไทย : ในตำรับยาไทยมิได้ระบุรสของใบแก้ว แต่เมื่อขยี้ใบแก้วดมจะมีกลิ่นหอม ใบแก้วใช้ปรุงเป็นยาขับโลหิตระดู และยาแก้จุกเสียด แน่นท้อง ขับผายลม บำรุงธาตุ และระงับอาการปวดฟันได้โดยจะทำให้เกิดอาการชาสรุปประโยชน์ ใบ เชื่อว่าปรุงเป็นยาขับระดู แก้จุกเสียดแน่น เฟ้อ บำรุงโลหิต ดอก นำมากลั่นเป็นของผสมในเครื่องหอม ผลสุก รับประทานได้ ราก กำลังมีการทดลองว่ามีสารที่มีฤทธิ์เป็นยาคุมกำเนิดหรือไม่ เนื้อไม้ ละเอียดขัดตกแต่งได้ง่าย มีน้ำมันในเนื้อไม้จึงนิยมใช้ทำเครื่องเรือน ด้ามเครื่องมือ ไม้ถือ ไม้บรรทัด ด้ามปากกา ด้ามร่ม ทำแกะสลัก ซอด้วง ซออู่

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ใบประกอบด้วย Volatile oil และ indole น้ำมันหอมระเหยของใบแก้วมีกลิ่นหอม ประกอบด้วยสารประเภท Sesquiterpenes จากการศึกษาวิจัยพบว่า ใบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ Micrococcus pyogenes ver. Aureus และ E.coli
วิธีใช้ใบแก้วใช้รักษาอาการปวดฟัน โดยนำใบสดตำพอแหลกแช่เหล้าโรง ในอัตราส่วน 1.5 ใบย่อยหรือ 1 กรัม ต่อเหล้าโรง 1 ช้อนชา หรือ 5 มิลลิลิตร และนำเอาน้ำยาที่ได้มาทาที่บริเวณที่ปวดฟัน
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower9
(หมวด ข)
เข็มแดง
ชื่ออื่นๆ : เงาะ (สุราษฎร์),เข็มแดง (ยะลา) , ตุโดปุโยบูเก๊ะ (มลายู), จะปูโย (มะละยู-นรา)ชื่อสามัญ : -ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora Lobbii Loud.วงศ์ : RUBIACEAEลักษณะทั่วไป ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลักษณะต้นนั้นจะคล้ายเข็มขาว ใบ : ใบนั้นจะหนายาวและแข็งมีสีเขียวสด ตรงปลายใบของมันจะแหลม ดอก : ดอกนั้นจะออกรวมกันเป็นช่อใหญ่แบนมีสีแดงเข้ม ดอกนั้นจะโตกว่าเข็มขาวมาก แต่ไม่มีกลิ่นหอมการขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง หรือปักชำส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยาสรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงไฟธาตุ บรรเทาอาการบวม รักษาตาพิการ รักษากำเดา รักษาเสมหะอื่น ๆ : เป็นพรรณไม้ที่นิยมปลูกกันตามชนบท และชอบขึ้นเองตามป่าราบ หรือป่าเบญจพันธุ์ พรรณไม้นี้ถ้าอยู่นานหลายปีอาจจะโตเท่าต้นมะม่วงได้ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จังหวัดสระบุรี และจะมีขึ้นประปรายตามจังหวัดต่างๆ http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower11

เข็มป่า
ชื่ออื่น ๆ : เข็มตาไก่ (เชียงใหม่), เข็มโพดสะมา (ตานี), เข็มดอย (พายัพ) ,เข็มป่า (ไทย)ชื่อสามัญ : -ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora Cibdela Craibวงศ์ : RUBIACEAEลักษณะทั่วไป ต้น : เป็นพรรณไม้ขนาดกลาง ลำต้นนั้นใหญ่ประมาณเท่าข้อมือ ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-4 เมตร ใบ : ใบนั้นจะมีสีเขียวสด เป็นรูปไข่ยาวๆ ริมขอบใบเรียบ ใบนั้นจะยาวประมาณ 6-18 ซม. และ กว้างประมาณ 2.5 ซม. ดอก : ดอกเข็มจะออกตลอดปี และออกดอกเล็ก ๆ เป็นพวงเหมือนดอกเข็มธรรมดา แต่จะมีดอกเป็น สีขาว ผล : ผลนั้นจะมีลักษณะเป็นผลกลม ๆ และมีสีเขียวการขยายพันธุ์ : โดยการใช้เมล็ด และตอนกิ่งส่วนที่ใช้ : ดอก ใบ ผล เปลือก และราก ใช้ทำเป็นยาสรรพคุณ : ดอก ใช้รักษาโรคตาเปียก ตากแดง ตาแฉะใบ ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิทั้งปวง ผล ใช้เป็นยารักษาโรคริดสีดวงจมูก เปลือก ใช้ตำแล้วคั้นเอาน้ำหยอดหูใช้ฆ่าแมงคาเรืองเข้าหู ราก ใช้ทำเป็นยารักษาเสมหะในท้อง หรือในทรวงอกอื่น ๆ : มักเป็นพรรณไม้ชอบขึ้นตามธรรมชาติในป่าทั่วๆ ไปในประเทศไทย มักจะ นำมาปลูกกันตาม วัดวาอารามแล้วตัวแต่งให้เป็นพุ่มให้สวยงามถิ่นที่อยู่ : มักจะเป็นเข็มพันธุ์ญี่ปุ่นทั้งสิ้นไม่ใช่ของไทย http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower11

เข็มไม้
ชื่ออื่น ๆ : เข็มไม้ (ไทย),เข็มพระราม (กรุงเทพ),เข็มปลายสาน(ตานี),เข็มขาว(พายัพ)
ชื่อสามัญ : -ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ixora ebarbata Craib.วงศ์ : - ลักษณะทั่วไป
ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ใบ : มีลักษณะเป็นรูปไข่ ริมขอบใบจะเรียบตรงปลายใบของมันจะมน ก้านดอก : ก้านดอกนั้นจะยาวส่วนปลายก้านดอกจะเป็นกลีบเล็กๆ อยู่เพียง 4 กลีบ ดอก : ดอกนั้นจะออกรวมกันอยู่เป็นช่อ มีสีขาว มีกลิ่นหอมเย็น ราก : รากนั้นจะมีรสหวานการขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ปักชำส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยาสรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยากิน รักษาโรคตา เจริญอาหาร http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower11

เข็มเหลือง
ชื่ออื่น ๆ : เข็มแสด , พุ่มสุวรรณ , เข็มเหลืองชื่อสามัญ : -ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ascocentrum Minatum ( Lindl.)วงศ์ : RUBIACEAEลักษณะทั่วไป ต้น : เป็นพรรณไม้พุ่มแต่เล็กกว่าเข็มขาว ใบ : ใบนั้นจะเป็นรูปไข่ ริมขอบใบจะเรียบ ส่วนตรงปลายใบมน ดอก : ดอกนั้นจะอยู่รวมกันเป็นช่อมีสีเหลือง แต่ไม่มีกลิ่นหอมการขยายพันธุ์ : โดยการตอนกิ่ง หรือทางกิ่งส่วนที่ใช้ : ราก ใช้เป็นยาสรรพคุณ : ราก ใช้ปรุงเป็นยารักษาฝีกาฬจักหัวใจ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower11
(หมวด ช)
ชงโคดอกเหลือง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia tomentosaวงศ์ : CASSALPINIACEAEชื่อสามัญ : Yellow Orchid Tree, Bell Bauhiniaชื่ออื่น ๆ : โยทะกา (กรุงเทพฯ) เสี้ยวเหลือง
ลักษณะทั่วไป ต้น : เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดย่อม ลำต้นสูงประมาณ ๓-๔ เมตร แตกกิ่งก้านออกเป็นพุ่มทึบ ใบ : ใบจะดก เป็นไม้ใบแฝดออกสลับกันตามข้อต้น มีขนาดเล็กกว่าใบชงโค เนื้อใบจะหยาบระคายมือ ปกติแล้วใบจะพับงอเข้าหากัน รูปทรงใบจะดูแล้วคล้ายกับปีแมลง ใบมีสีเขียว ขนาดของใบกว้างประมาณ ๕-๗ เซนติเมตร ดอก : ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามยอดหรือปลายกิ่ง หนึ่งช่อจะมีดอกประมาณ
๘-๑๒ ดอก แต่จะบานครั้งละ ๒-๓ ดอก ดอกมีสีเหลืองอ่อน จะมีกลีบดอกประมาณ
๖ กลีบ แต่ละกลีบจะเรียงซ้อนชิดกันกว้างกลม แต่กลีบจะงองุ้มคว่ำหน้าเข้าหากัน ออกดอกตลอดปี การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ปลูกง่ายขึ้นได้ในดินทุกชนิด แต่ต้องไม่มีน้ำขังอยู่ใต้ดินตลอดเวลา เพราะชงโคเหลืองเป็นต้นไม้ที่รากเน่าง่าย ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการตอน อื่น ๆ : เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเอเชียเขตร้อน
สรรพคุณ: ใบ จะมี alkalcid พวก tannin ใบนั้นใช้ต้ม กินรักษาอาการไอ เนื่องจาก มี alkalcid ดอก ใช้ผสมกับอื่น ๆ เป็นเครื่องยา รักษาอาการไข้ หรือดับพิษไข้ หรือเป็นยาระบาย ราก ใช้ต้มกินน้ำเป็นยาขับลม หรือใช้โขลกผสมกับน้ำกินเป็นยารักษาอาการ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower6
(หมวด ซ)
ซ่อนกลิ่น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polianthes tuberosaชื่อวงศ์ : AGAVACEAEชื่อสามัญ : Tuberoseชื่ออื่นๆ : ซ่อนกลิ่นถิ่นกำเนิด : อเมริกาใต้การขยายพันธุ์ : แยกหน่อ, แบ่งหัว
ประวัติและข้อมูลทั่วไป :
ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ในวงศ์เดียวกับพลับพลึง ดอกจะมีกลิ่นหอมตั้งแต่เวลาเย็นถึงตอนกลางคืน ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ มีอายุหลายปี
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ซ่อนกลิ่นเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ลักษณะของหัวจะคล้ายๆ กับหัวหอม ใบมีสีเขียวเล็กและเรียวยาวโผล่ออกมาจากพื้นดิน ใบยาวประมาณ 1-1.5 ฟุต ดอกจะชูช่อออกมาตรงกลางกอของลำต้นและมีดอกเกาะตรงก้านดอกเรียงกันเป็นแนวตามก้านดอก ดอกมีสีขาวยาวประมาณ 1 นิ้ว ช่อดอกหนึ่งๆ จะยาวประมาณ 2-2.5 ฟุต แต่ละช่อดอกจะมีดอกย่อยประมาณ 40-90 ดอก กลีบดอกแต่ละกลีบจะไม่เท่ากัน กว่าดอกจะบานหมดทั้งช่อใช้เวลา 5-7 วัน และมีกลิ่นหอมมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน พันธุ์ที่ใช้ปลูก
พันธุ์ดอกลา มีกลีบดอกเพียงชั้นเดียว
พันธุ์ดอกซ้อน มีกลีบดอกซ้อนกัน
การปลูกและดูแลรักษา :
ซ่อนกลิ่นเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดจัดควรปลูกไว้กลางแจ้ง ชอบดินร่วนไม่ชอบดินเหนียวและต้องมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ ซ่อนกลิ่นเป็นไม้ที่ชอบน้ำต้องหมั่นรดน้ำให้เปียกชื้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งผากจะทำให้ซ่อนกลิ่นออกดอกไม่ดก
ประโยชน์และสรรพคุณ :
ดอกซ่อนกลิ่นเป็นพรรณไม้ที่มีกลิ่นหอมแรง ในต่างประเทศนิยมนำมาสกัดเอากลิ่นไปผสมกับช็อกโกแลตเพื่อเพิ่มความหอม
ดอกตูมของซ่อนกลิ่นจะนำมาปรุงเป็นอาหาร เช่นแกงจืดกับหมูสับ ผัดกับหมู หรือผัดรวมกับผักอื่น จะช่วยเพิ่มความหอมให้กับอาหาร ใช้ได้ทั้งดอกตูมและดอกบาน ช่วยเป็นยาระบาย และบำรุงผิวพรรณ
http://www.samunpri.com/modules.php?name=Flower&func=flower8